วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568
แนวรบชายแดน‘ไทย-เขมร’ระอุ
ปะทะกันเดือด!
บึ้มเครนบน‘เขาพระวิหาร’
ฐานที่ตั้งระบบแอนตี้โดรน
ทร.ถล่มรังสแกมเมอร์-บ่อน
ซุกอาวุธหนัก/ซ่อนกำลังพล
ไทย-กัมพูชาปะทะเดือดวันที่สี่ ตลอดแนวชายแดน 4 จังหวัด 12 แนวรบ “บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-อุบลฯ” ระดมปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด–อาวุธประจำกายถล่มเป็นระลอก เขมรเปิดฉากถล่มไทยตั้งแต่ตีห้า ส่วนทภ.2 ทำลายเครนบน“เขาพระวิหาร” หลังข่าวกรองชี้ชัดเป็นที่ตั้งระบบ “แอนตี้โดรน”และระบบกล้องวงจรปิดแบบสัญญาณเรดาร์ ด้าน ทร. โดยนาวิกโยธินจัดหนัก ยิงทำลายฐานสแกมเมอร์ -ตึกกาสิโน บ่อนทมอดา หลังพบเขมรวางสไนเปอร์ 4 จุด พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมถล่มอธิปไตยไทยจากที่สูง พร้อมใช้ปืนใหญ่สกัดเขมรส่งรถสายพาน 3 คัน หวังบุกบ้านหนองจาน ก่อนประกาศเตือนคนเขมรที่อยู่ใกล้สะพานจัยจุมเนี้ยะ ให้อพยพ เพราะจะระเบิดสะพานนี้ตัดเส้นทางลำเลียงปืนใหญ่มาคุกคามอธิปไตยไทย
สถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชายังคงดำเนินต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ ตั้งแต่เวลา 05.20 น. วันที่ 10 ธันวาคม รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เผยว่า เช้ามืดวันนี้ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง ด้วยกระสุนปืนใหญ่ เข้ามามายังพื้นที่ฝั่งไทยก่อนตลอดแนวชายแดน 4 จังหวัด
ไทย-เขมรปะทะเดือดตลอดชายแดน4จว.
โดยในพื้นที่จ.บุรีรัมย์ 1 แนวรบหลัก ช่วงแนวรบช่องสายตะกู เริ่มปะทะ ด้านจ.สุรินทร์ 5 แนวรบหลัก คือ 1.แนวรบช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยียิงเป็นระยะ 2.แนวรบปราสาทคนา มีการยิงเข้ามาเป็นระยะ โดยมีการยิงด้วยปืนใหญ่เข้ามายังฝั่งไทย 3. แนวรบปราสาทตาควาย เขมรยิงเข้ามายังฝั่งไทยเป็นระยะ หน่วยประจำกายและปืนใหญ่ปืนไร้แรงสะท้อน (ปรส.) 4. แนวรบช่องกร่าง มีการยิงเป็นระยะ ด้วยอาวุธประจำกายและ กระสุนปืน ค. 5. แนวรบปราสาทตาเมือนธม มีการยิงเป็นระยะ ด้วยอาวุธประจำกายและเครื่องลูกระเบิดมายังฝั่งไทย
ส่วนจ.ศรีสะเกษ 4 แนวรบหลักคือ 1. แนวรบพระวิหาร (ช่องซำแต-โดนตวล-ภูผี-สัตตะโสม-พนมประสิทธิโส-ช่องตาเฒ่า) ปะทะเป็นระยะ 2. แนวรบพระวิหาร (ปราสาทพระวิหาร-ผามออีแดง-ห้วยตามาเรีย) ปะทะเป็นระยะ 3.แนวรบภูมะเขือ-ช่องโดนเอาว์-พลาญยาว-พลาญหินแปดก้อน ปะทะเป็นระยะ 4. แนวรบช่องสะงำ สำหรับพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี 2 แนวรบหลักคือ 1.แนวรบช่องบกปะทะเป็นระยะ ด้วยอาวุธประจำกายและปืนใหญ่ 2.แนวรบช่องอานม้า ปะทะเป็นระยะ ด้วยอาวุธประจำกายและปืน ค.
ทำลายเครนทางขึ้นพระวิหารที่ตั้งแอนตี้โดรน
เวลา 14.00 น. กองทัพภาคที่ 2 ทำลายเครนที่อยู่ทางขึ้นเขาพระวิหารหลังตรวจพบว่า ใช้เป็นที่ติดตั้งแจมเมอร์ หรือแอนตี้โดรน รวมทั้งติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดด้วยสัญญาณเรดาร์บนพื้นที่เขาพระวิหาร โดยพบว่ามีระบบ Spoofing GPS ก่อกวนนำร่องด้วยดาวเทียม (GNSS/GPS) ส่งผลให้โดรนและระบบอื่นๆในพื้นที่ของไทยมีปัญหา และยังใช้กล้องวงจรปิดบันทึกภาพ รวมทั้งดูการปฏิบัติของกำลังฝ่ายเราในพื้นที่รอบเขาพระวิหาร
ทร.เปิดยุทธการตราดปราบปรปักษ์
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจังหวัดจันทบุรีและตราด พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือได้เปิดยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” สนธิกำลังรบในทุกมิติทั้ง น้ำ-ฟ้า-ฝั่ง ในการดูแลรักษาอธิปไตยพื้นแผ่นดินไทย
โดยเรือหลวงเทพา เข้าพื้นที่ปฏิบัติการตรวจการและลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง กำลังพลทุกนายถูกยกระดับให้สู่สภาวการณ์พร้อมรบ อาวุธประจำเรือทุกชนิดถูกเตรียมพร้อมตอบสนองต่อสถานการณ์ทันที ทั้งนี้กองทัพเรือแจ้งเตือนเรือประมงไทยทุกลํา ให้หลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยงเดินเรือเข้าเส้นเขตแดนทางทะเลไทยกัมพูชา และหากพบเห็นเรือรบกัมพูชาโปรดแจ้ง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือโดยด่วน
โดยวานนี้ (9 ธันวาคม เรือหลวงเทพาให้การสนับสนุนการยิงฝั่งด้วยปืนใหญ่เรือ สนับสนุนกำลังทางบก เพื่อยึดพื้นที่บ้านสามหลังที่ บ.หนองรี ฝ่ายไทยทำลาย ฐานที่มั่นกัมพูชาไปแล้ว 80 % โดยกำลังจากนาวิกโยธิน เผาทำลายบ้านทั้ง3หลังได้ รวมถึงบังเกอร์ที่คาดว่าจะใช้ในเก็บยุทโธปกรณ์และอมภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งก็ถูกทำลายไปแล้วด้วยเช่นกัน จากนี้อยู่ในขั้นตอนการเข้ายึดพื้นที่ แต่ฝ่ายกัมพูชา ได้ขุดบังเกอร์และคูเลต เป็นที่หลบกำบัง ก่อนใช้อาวุธหนักปืนใหญ่ ตอบโต้กำลังของฝ่ายไทย ทำให้กำลังพลกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดยังไม่สามารถเข้ายึดพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ
ยิงปืนค.ถล่มฐานสแกมเมอร์-บ่อน
เวลา 10.00 น.วันนี้ (10 ธันวาคม) กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) ยิงปืนค. ทำลายฐานสแกมเมอร์ ในพื้นที่ทมอดา จ.โพธิสัตว์ ตรงข้าม ต.ชำราก จ.ตราด ซึ่งฐานปฏิบัติการแห่งนี้ ถูกใช้เป็นสถานที่สะสมกำลังพลของฝ่ายกัมพูชา โดยยังมีรายงานข่าวอีกว่าทหารกัมพูชาใช้ตึกกาสิโน ที่ทมอดา ที่เป็นอาคารสูงนำทหารสไนเปอร์4 คน และมีอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของไทยอีกด้วย
น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดได้ใช้จรวดโทว์ (จรวดต่อต้านรถถัง) ยิงจากรถถังใส่กาสิโนที่บ้านทมอดา ต.เวียงเวล อ.เวียงเวล จ.โพธิสัตว์ ที่ตั้งของแก๊งสแกมเมอร์ ที่ผ่านมาในการปะทะวันแรก ทหารนาวิกโยธินตราดใช้ปืนใหญ่ระดมยิงแต่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายมากนัก วันนี้จึงได้ใช้จรวดโทว์ยิงเข้าไปอีก ในการปฏิบัติการครั้งนี้ถูกเป้าหมาย แต่ยังไม่สามารถถล่มกาสิโนให้พังลงมาได้ ซึ่งทหารนาวิกโยธินตราดจะดำเนินการต่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะสภาพของกาสิโน ซึ่งมีสภาพแข็งแรงมาก จรวดโทว์ยังไม่สามารถทำลายได้ ต้องใช้ความพยายามต่อไป
ทำลายสะพานจัยจุมเนี้ยะตัดกำลังเขมร
เวลา 10.10 น.วันเดียวกัน รายงานข่าวจากกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.)เผยว่าตรวจพบการลำเลียง อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะปืนใหญ่สนาม ที่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยไทย เพื่อเป็นการตัดการส่งกำลังบำรุง และการเสริมกำลังของกัมพูชา กปช.จต.จำเป็นต้องทำการทำลายสะพานจัยจุมเนี้ยะ อ.เวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามจ.ตราดของไทย เพื่อตัดเส้นทางการส่งเสบียงบำรุงของทหารเขมร จึงขอให้ชาวกัมพูชาที่อยู่ใกล้สะพาน “จัยจุมเนี้ยะ” อพยพออกจากพื้นที่ห่างจากบริเวณสะพานเกินรัศมี 1.5 กิโลเมตร
ทภ.1ใช้ปืนใหญ่ยิงสกัดรถสายพานเขมร
ด้านกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รายงานสถานการณ์ชายแดนจ.สระแก้ว เวลา 12.00 น. เปิด 5 แนวรบหลัก บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา มีการปะทะเป็นระยะ ด้วย ป. และ ค. ควบคุมพื้นที่ อยู่ระหว่างเสริมความมั่นคงและสถาปนาที่มั่นตั้งรับ บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง มีการปะทะเป็นระยะด้วย ป. และ ค. ควบคุมพื้นที่ สถาปนาที่มั่นตั้งรับ บ้านหนองจาน อ.โคกสูง ปะทะเป็นระยะด้วย ป. และ ค. บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ เฝ้าระวัง มีการปะทะเล็กน้อย อ.คลองหาด พบรถสายพานฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ 3 คัน ไทยใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงสกัด
ทบ.โต้ฮุนเซน-ไทยไม่ใช่ผู้รุกรานเขมรเริ่มก่อน
จากกรณีสื่อกัมพูชารายงานว่า ฮุน เซน ออกแถลงการณ์ด่วนถึงกองกำลังแนวหน้าระบุขณะนี้ตนได้ลงมาบัญชาการรบร่วมกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แล้ว และกล่าวหาว่าฝ่ายไทยคือผู้รุกราน ได้ใช้อาวุธหนักระดมยิงใส่ฝั่งกัมพูชา พร้อมกล่าวว่าเป็นกลยุทธ์ยั่วยุ หวังดึงให้กัมพูชาโต้ตอบ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างฉีกสัญญาหยุดยิงและทำลายแถลงการณ์สันติภาพ พร้อมสั่งให้ทหารกัมพูชาอดทน
ในประเด็นนี้ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกออกมาแถลงว่า ที่ผ่านมาไทยเชื่อมาตลอดว่าฮุน เซน คือ ผู้สั่งการบังคับบัญชาตัวจริงของกัมพูชา ส่วนประเด็นบิดเบือนที่พยายามกล่าวหาไทยเป็น ‘ผู้รุกราน’ กลับแย้งกับความจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยนำกำลังพร้อมอาวุธเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยหลายพื้นที่ รวมทั้งใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวนมากบริเวณแนวชายแดน และตลอดช่วงหยุดยิงเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา กัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุตลอด ที่สำคัญคือใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายฝ่ายไทย มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน จนทำให้ฝ่ายรัฐบาลไทยขอระงับข้อตกลงร่วม ที่เป็นผลจากการกระทำของกัมพูชา กัมพูชาจึงเป็นผู้ฉีกสัญญา โดยเจตนาผ่านการกระทำของตัวเอง อีกทั้ง เขมรไม่ได้ใช้ความอดทนจริงอย่างที่ฮุนเซนกล่าว เพราะตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยอย่างโหดร้าย ไม่มีการแจ้งเตือนก่อน และหลังจากนั้นเขมรใช้อาวุธทุกชนิดโจมตีไทยอย่างหนักตลอด 3 วันที่ผ่านมา มีพื้นที่พลเรือนได้รับผลกระทบจำนวนมาก
“ยืนยันว่ากองทัพบกมีสิทธิป้องกันตนเอง จนกว่าภัยคุกคามชายแดนจะยุติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของคนไทยตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรม ยืนยันไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความรุนแรง แต่มีหน้าที่ต้องตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตยอย่างจำเป็นและเหมาะสม”โฆษกกองทัพบกกล่าว
กองทัพไทยแจงผช.ทูตทหาร19ชาติ
ทีมโฆษกกองทัพไทยระบุ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา กองทัพไทยจัดการประชุมชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคง ไทย-กัมพูชา มีพลเอก ชิดชนก นุชฉายา เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นประธาน ให้ข้อมูลสำคัญต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย 19 ประเทศ ที่ กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ การชี้แจงมุ่งประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยเฉพาะเหตุการณ์ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงโจมตีก่อน และแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทยมากขึ้น ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ในพื้นที่ ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และกระจายไปหลายพื้นที่ อาทิ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว และตราด เป็นเหตุให้กำลังพลฝ่ายไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังปรากฏการใช้อาวุธต่อประชาชน โดยยิงอาวุธ BM-21 ของกัมพูชาโจมตีพื้นที่บ้านสายโท 10 ใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ บ้านเรือนประชาชน และยังเป็นเหตุให้กำลังพลฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งไทยจำเป็นต้องตอบโต้ตามกฎการปะทะ เพื่อยับยั้งการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ยืนยันจุดยืนของไทยในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ทั้งนี้ การปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินต่อไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแนวทางและแสวงหาสันติภาพ
ขณะที่เสนาธิการทหาร ย้ำถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของไทยในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธีตามหลักสากล แต่จากเหตุการณ์ยั่วยุที่ผ่านมา ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ตามสัดส่วน โดยถือเป็นสิทธิ์ของไทยในการปกป้องอธิปไตย
ย้ำไทยแยกเป้าหมายทหารออกจากปชช.
พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาเปิดเผยว่า สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชาขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายพื้นที่ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด บางพื้นที่มีบ้านเรือนประชาชนเสียหาย ประชาชนต้องอพยพ และต้องปิดโรงเรียน พร้อมยืนยันว่า ไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มปะทะ โดยใช้สิทธิป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ไทยขอยืนยันชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง แต่จำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง เพื่อคุ้มครองอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน ปฏิบัติการทั้งหมดอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ยึดหลักการใช้กำลังเท่าที่จำเป็น การไม่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุและการแยกเป้าหมายทางทหารออกจากพลเรือนอย่างชัดเจน ไทยไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือนหรือโครงสร้างพื้นฐานของประชาชนเด็ดขาด การใช้กำลังทางอากาศเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” เพื่อยุติภัยคุกคาม
ยันใช้กำลังทางอากาศเป็นทางเลือกสุดท้าย
พลอากาศเอกประภาส ยังระบุว่า การใช้กำลังทางอากาศในบางพื้นที่ เป็นมาตรการที่ดำเนินการด้วยความจำเป็น เพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อพื้นที่ชุมชนลดความเสี่ยงต่อชีวิตประชาชนและเจ้าหน้าที่ ไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ อย่างที่เคยเกิดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทุกการปฏิบัติเป็นไปด้วยความรอบคอบ บนพื้นฐานของข่าวกรอง ใช้ความแม่นยำสูง และคำนึงถึงความปลอดภัยของพลเรือนเป็นอันดับแรก ไทยยังยึดมั่นสันติภาพ และใช้กลไกการทูตควบคู่กับการดูแลความมั่นคงมาตลอด พร้อมสื่อสารข้อมูลต่อประเทศพันธมิตรอาเซียนและองค์การระหว่างประเทศอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อความปลอดภัยของประชาชนและอธิปไตยของชาติถูกคุกคาม จำเป็นต้องใช้ทุกมาตรการที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองเสถียรภาพประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี