หลังจากที่ได้เขียนถึงกรณีทุจริตข้าวถุง ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งล่าสุด บอร์ด อคส.มีการลงโทษทางวินัยอดีตผู้บริหารระดับ “รองผู้อำนวยการ อคส.” รายหนึ่ง จนถูกไล่ออกไปแล้วนั้น
คราวที่แล้ว ได้กล่าวถึงผลสอบของคณะอนุกรรมาธิการฯ ชุดที่มี พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี เป็นประธานฯ ในคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ว่าการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงว่า มีพฤติกรรมส่อทุจริต
ล่าสุด ได้รับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม จากแหล่งข่าวในแวดวงตรวจสอบระดับสูง
แจ้งคอนเฟิร์มว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ก็ได้เคยมีการตรวจสอบโครงการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นี้ด้วยเช่นกัน แล้วก็ปรากฏผลการตรวจสอบชัดเจน ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ส่อพิรุธ ส่อทุจริต อุกอาจ อุกฉกรรจ์อย่างที่สุด
1. สตง. ได้ตรวจสอบโครงการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เป็นการจำหน่ายข้าวเปลือกตามโครงการรับจำนำข้าวให้แก่ อคส.ในราคาที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของราคาตลาด
อ้างวัตถุประสงค์เพื่อกระจายข้าวสารบรรจุถุงไปสู่ประชาชนในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด
การตรวจสอบพบว่า ในการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง อคส.ใช้วิธีผ่านตัวแทนจำหน่ายจำนวน 6 ราย มีข้อพิรุธและพบความผิดปกติ โดยไม่มีการกระจายข้าวสารบรรจุถุงไปสู่ประชาชนในราคาที่ถูกอย่างแท้จริง
2. สตง.ตรวจสอบ พบว่า ขณะนั้น อคส.ได้ทำสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย จำนวน 6 บริษัท
สัญญาไม่ได้ระบุให้บริษัทตัวแทนจำหน่ายต้องจำหน่ายข้าวสารให้แก่ประชาชนในราคา 70 บาท
อีกทั้งไม่มีข้อกำหนดในการตรวจสอบติดตามการดำเนินการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่
รวมทั้งไม่มีสภาพบังคับแก่บุคคลที่ 3 ที่ไปซื้อข้าวไปจากบริษัทตัวแทนจำหน่าย
ยิ่งกว่านั้น การตรวจสอบเชิงลึก พบพฤติการณ์ของบริษัทตัวแทนจำหน่ายเข้าข่ายกระทำความผิด
(1) บริษัทตัวแทนจำหน่ายเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่ดำเนินธุรกิจค้าขายข้าว ส่วนอีก 5 บริษัท ไม่เคยดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนค้าขายข้าวมาก่อน ดำเนินธุรกิจอื่น และบางบริษัทเป็นเครือญาติกัน
(2) มีพยานบุคคลระบุว่าหลายบริษัทไม่มีประสบการณ์ในการจำหน่ายข้าว แต่เข้ามาทำสัญญาตัวแทนเนื่องจากรู้จักกันโยงใยเป็นเครือข่าย
(3) ข้อมูลเส้นทางการเงิน มีการสั่งซื้อแคชเชียร์เช็คเพื่อชำระค่าข้าวสารบรรจุถุงให้กับ อคส.พบว่าผู้ซื้อแคชเชียร์เช็คของบริษัทตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 ราย เป็นบุคคลเดียวกัน
(4) พบพฤติกรรมของบริษัทตัวแทนจำหน่ายนำข้าวไปจำหน่ายต่อให้กับบริษัทผู้ค้าข้าวรายอื่น ในราคาถุงละ 72-75 บาท มิได้จำหน่ายให้ประชาชนตามโครงการฯ ในราคา 70 บาท
3. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มีความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เพราะไม่มีการกระจายข้าวสารบรรจุถุงไปสู่ประชาชนในราคาถูกอย่างแท้จริง
ประมาณการมูลค่าความเสียหาย จากผลต่างส่วนลดราคาที่รัฐบาลจำหน่ายข้าวสารให้แก่ อคส. ในราคาร้อยละ 50 ของราคาตลาด
ปริมาณข้าวสาร รวม 100.70 ล้านถุง หรือ 503,518 ตัน
เป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวนเงิน 3,830,324,750 บาท
หรือ 3,830 ล้านบาท!!!
ชี้ว่า กรณีเป็นความผิดเกี่ยวกับการอนุมัติและลงนามในสัญญาที่ไม่มีข้อกำหนดในเรื่องการบังคับ ควบคุม ตรวจสอบ และติดตามให้ตัวแทนจำหน่ายดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย และวัตถุประสงค์ของโครงการ ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐต้องดำเนินการทางละเมิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนบริษัทตัวแทนจำหน่ายทั้ง 6 บริษัท มีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำการเพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากรัฐโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542
สตง.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ ป.ป.ช.และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปแล้ว
4. นี่คือบางส่วนของผลการตรวจสอบ สตง. กรณีโครงการข้าวถุงยุครัฐบาลจำนำข้าว
เรียกว่า อิ่มหมีพีมัน ในคนบางกลุ่ม
แต่เงินของแผ่นดินถูกเบียดบังไป
ประชาชนที่ถูกแอบอ้าง ไม่ได้กินข้าวถุงราคาถูกจริงๆ
นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้โครงการจำนำข้าว ขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
จึงสงสัยว่า โครงการนี้ น่าจะมีสุนัขคาบไปรับประทานแน่นอน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี