เมื่อไม่กี่วันก่อน “ที่นี่แนวหน้า” ได้พูดคุยกับ ป้อมลายดอกไม้สด แกนนำกลุ่มเรียกร้องทวงคืนการเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์บนถนนเลียบคลองทวีวัฒนา ที่ถูกห้ามตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา หลังจากเห็นเรื่องที่คุณป้อมลายโพสต์ระบายความคับข้องใจลงในเฟซบุ๊คแฟนเพจของกลุ่มเป็นกรณีลูกเพจคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่หน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะได้บรรจุเข้าเป็นลูกจ้างประจำ
แต่แล้วความฝันนั้นก็สลายไป เมื่อหน่วยงานต้นสังกัดบอกว่าไม่สามารถรับเข้าเป็นลูกจ้างประจำได้เพราะลูกเพจคนดังกล่าวเคยถูกจำคุก แม้ว่าที่ผ่านมาตลอด 3 ปีในการเป็นลูกจ้างชั่วคราวจะปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันไม่ก่อเรื่องก่อราวใดๆ ให้เพื่อนร่วมงานปวดหัวเลยก็ตาม ทำให้ที่สุดแล้วก็ต้องออกจากงานไปหลังสิ้นสุดสัญญาจ้าง คุณป้อมลายตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกเพจรายนี้ว่า “ตกลงแล้วคำว่า “คืนคนดีสู่สังคม” มันไม่มีอยู่จริงใช่หรือไม่?” คนคนหนึ่งพยายามแสดงออกว่าอยากเริ่มต้นใหม่แต่เพราะกฎระเบียบที่ตั้งไว้ไม่เปิดโอกาสให้
เรื่องราวข้างต้นนี้ เอาเข้าจริงๆ ก็มีสื่อมวลชนนำเสนอไปแล้วมากมาย กรณีความเห็นจากอดีตผู้ต้องขังบ้าง ผู้คุม-ผู้บริหารเรือนจำบ้าง นักวิชาการที่ทำงานร่วมกับกรมราชทัณฑ์บ้าง ในทำนองว่า “สิ่งที่น่ากังวลสำหรับผู้ต้องคดีอาจไม่ใช่ช่วงที่อยู่ในเรือนจำ แต่เป็นวันที่พ้นโทษ เพราะออกไปแล้วมักหางานทำไม่ได้และไม่มีทุนเริ่มต้นกิจการนำไปสู่การหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ” ต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำอีกครั้ง
แต่เมื่อมีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกไป เสียงสะท้อนจากสังคมผ่านการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์จำนวนไม่น้อยย้อนถามกลับมาว่า “ภาครัฐเอาแต่เรียกร้องให้ภาคเอกชนให้โอกาสคน..แล้วทำไมภาครัฐไม่ทำให้เป็นแบบอย่างบ้าง?” เพราะหากไปดูระเบียบการรับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ล้วนระบุในส่วนของ “ลักษณะต้องห้าม” ของผู้ที่ประสงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกว่า “เป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ” ทั้งสิ้น
โดยมีข้อสังเกต 1.เป็นข้อห้ามที่ไม่ได้จำกัดระยะเวลาไว้ หรือก็คือการห้ามตลอดชีวิต ซึ่งหนักเสียยิ่งกว่าการถูกจำคุก เพราะอยู่ในเรือนจำยังมีวันได้พ้นโทษกับ 2.เป็นข้อห้ามแบบไม่แยกแยะประเภทความผิด ความผิดที่เรียกว่า “ลหุโทษ” ถูกระบุไว้ใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 102 หมายถึง “ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไมเกิน 1 เดือน หรือปรับไมเกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” แต่ในความเป็นจริง มีกฎหมายมากมายที่ระบุโทษจำคุกไว้สูงกว่า1 เดือน แม้พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดนั้นจะดูแล้วไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงเลยก็ตาม
อาทิ “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” ความผิดนี้อาจจะเกิดกันง่ายๆ ในยุคที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวก ซึ่งใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ระบุว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท, “เล่นการพนัน” เป็นเพียงผู้เล่นไม่ใช่เจ้ามือหรือเจ้าของบ่อน พ.ร.บ.การพนันพ.ศ.2478 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 12 ระบุว่าต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-3 ปี และปรับตั้งแต่ 500-5,000 บาท,
“ดื่มแล้วขับ” แม้ว่าจะยังไม่ได้ไปเกิดอุบัติเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายก็ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) ประกอบมาตรา 160 ตรีระบุว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “ชุมนุมประท้วงนโยบายของภาครัฐ” หากเป็นการชุมนุมที่ไม่ได้รับการรับรองตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558ในหมวดบทกำหนดโทษ (มาตรา 27-35) ระบุโทษไว้ โทษจำคุกขั้นต่ำคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ส่วนโทษปรับขั้นต่ำคือปรับไม่เกิน 10,000 บาท เป็นต้น
เมื่อต้นเดือนก.ย. 2562 ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนาเรื่อง “มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อการลดการลงโทษทางอาญา” ในงานสัมมนา “การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 2” ซึ่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ธวัชชัย ไทยเขียว กล่าวถึงจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ ณ วันที่ 26 ส.ค. 2562 ว่ามีถึง373,097 คน ที่เป็นเช่นนี้เพราะ “เป็นความเคยชินของคนเขียนกฎหมายในเมืองไทย ที่ต้องใส่โทษจำคุกเข้าไปด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือใหญ่ก็ตาม” จนเป็นที่มาของปัญหาคนล้นคุก และเพิ่มจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำที่ออกจากคุกไปแล้วถูกสังคมตีตรากีดกัน
เช่นเดียวกับรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ที่กล่าวว่า “แค่หน่วยงานรัฐทั้งหลายจะจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย-พนักงานทำความสะอาดจากบริษัทภายนอก ยังต้องขอตรวจประวัติอาชญากรรม” รวมทั้งตั้งข้อสังเกตถึง “นโยบายว่าด้วยยาเสพติดที่ผลักให้ผู้เสพกลายเป็นผู้ค้า” เพราะเน้นการปราบปรามทำให้ราคายาเสพติดแพงขึ้นหลายเท่าตัวซึ่งไทยไปเดินตามรอย สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีปัญหาผู้ต้องขังแออัดในเรือนจำเช่นกัน โดยผู้ต้องขังในประเทศไทยเกือบร้อยละ 80 มาจากคดียาเสพติด
ข้อห้ามเรื่องเคยมีประวัติถูกจำคุกในการสมัครเข้าเป็นบุคลากรของภาครัฐ ลามไปสู่อาชีพอื่นๆ ที่อ้างถึง “เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ” แม้ไม่ได้ทำงานในภาครัฐ เช่น “ทนายความ” ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 35 (6) ว่าด้วยผู้ที่สามารถยื่นขอใบอนุญาตทนายความ , “ครู” ตามกฎหมาย ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พ.ศ. 2559 ข้อ 6 (ข) (3) ว่าด้วยผู้ที่สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เป็นต้น
ไปจนถึง “นวดแผนไทย” ที่กฎหมาย พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ระบุห้ามคนมีประวัติเคยถูกจำคุกเป็นเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านตลอดชีวิต เหล่านี้อาจทำให้เกิด “วัฒนธรรมการเอาอย่าง”เพราะอาชีพนั้น บริษัทนี้ ต่างก็พากันตั้งกฎขึ้นมาจะไม่รับผู้เคยต้องคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไร และไม่ว่าจะพ้นโทษมานานเท่าใดแล้วก็ตาม หรือบางแห่งไปไกลถึงขั้นไม่รับคนเคยขึ้นโรงขึ้นศาลโดยไม่ถามว่าไปศาลในฐานะอะไรเสียด้วยซ้ำไป
ปัจจุบันทราบว่ามีเพียง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่แก้ไขระเบียบการรับพนักงานราชการให้ก้าวหน้าขึ้น โดยกำหนดเพิ่มเติมไปว่า “หรือพ้นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี โดยให้ยื่นหนังสือรับรองความประพฤติว่าไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม ตามแบบที่ กสม. กำหนดเพื่อประกอบการพิจารณา” ซึ่งก็หวังว่าหน่วยงานอื่นๆ จะปรับปรุงแบบนี้บ้าง การห้ามนั้นอาจทำได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เห็นและเชื่อได้ว่าคนคนนั้นน่าจะไม่กลับไปทำผิดอีก แต่ไม่ควรห้ามแบบปิดตายไปตลอดชีวิต
จะได้เป็นแบบอย่างแก่องค์กรนอกภาครัฐ “สร้างบรรทัดฐานใหม่” ลดการตีตรากีดกันลง เปิดช่องทางให้โอกาสมากขึ้น เพื่อให้คำว่า “คืนคนดีสู่สังคม” เกิดขึ้นจริง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี