ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้วที่ COVID-19 เริ่มจากเมืองอู่ฮั่น และได้กระจายไปยังประเทศต่างๆ แทบทุกทวีปของโลก ทำให้เกิดปัญหาใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง ผมขอเรียกว่า โลกาภิวัตน์ด้านสุขภาพทางลบ เพราะในอดีตอาจจะมีโรคติดต่อรุนแรง แต่คนในยุคเก่าไม่ได้ติดต่อกันรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน จึงไม่ลุกลามไปยังหลายประเทศ
COVID-19 เริ่มที่อู่ฮั่น แต่บัดนี้จำนวนผู้ป่วยในอู๋ฮั่นยังสูงอยู่และจำนวนคนตายมากกว่า ผมมั่นใจในความสามารถของผู้นำจีนซึ่งมีระบบทำงานเป็นทีม โดยร่วมมือกัน เช่น สร้างโรงพยาบาลรองรับภายใน 10 วัน ตัวเลขผู้ป่วยที่อู่ฮั่นก็เริ่มนิ่งแล้ว เปิดโอกาสให้ชาวอู่ฮั่นได้มีโอกาสออกมาจับจ่ายข้างนอกได้บ้างแล้ว การกระจาย COVID-19ไปยังเมืองอื่นในจีนมีไม่มากนัก
ที่ต้องระวังคือ ประเทศอื่นๆ ที่ COVID-19 กำลังกระจายไปอย่างรวดเร็ว อาจจะอยู่ที่ผู้นำประเทศและประชาชนว่าจะมีวินัย รับผิดชอบ จะมีความสามารถในการทำงานร่วมกันทุกหน่วยงานในประเทศเหล่านั้น
ขอยกตัวอย่างเมืองไทย ต้องยอมรับว่า สุขอนามัยและคุณภาพของการแพทย์ พยาบาลเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว
ขอชมเชยรัฐมนตรีอนุทินและนายกฯประยุทธ์ รวมทั้งข้าราชการประจำในกระทรวงสาธารณสุข แต่จะมีปัญหาจากอุปนิสัยของคนไทยที่มักจะไม่รับผิดชอบ ขาดวินัย เช่นกรณี คุณปู่ คุณย่า 2 คน ที่กลับจากญี่ปุ่น ไม่บอกความจริง ยังดีที่ COVID-19 ไม่กระจายไปยังกลุ่มอื่นๆ
หรือการพูดที่ไม่รับผิดชอบของบิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่องผีน้อยคือแรงงานที่กลับจากเกาหลี บิ๊กป้อมบอกไม่มีกฎหมายจะต้องกักตัว 14 วัน ซึ่งไม่จริง
ต้องระวังในการให้ข่าว ถ้ารู้ไม่จริงก็ไม่ต้องพูด ยังดีที่นายกฯรีบออกมาชี้แจงว่า ผีน้อยทุกคนรัฐบาลดูแลอยู่ไม่ปล่อยให้เขาอยู่บ้านเองโดยไม่มีฝ่ายการแพทย์ดูแล ผู้นำอย่างนายกฯประยุทธ์และคุณอนุทินที่แก้ปัญหาได้ทันเวลา เพราะถ้าปล่อยให้กลุ่มผีน้อยกระจาย COVID-19คงยุ่งมากๆ
ผมเป็นห่วงเรื่องวินัยของคนไทย ถ้าผู้นำมีความสามารถการดูแลเช่นทำกับผีน้อย ถ้าไม่ดูแลปล่อยให้กลับบ้านดูแลกันเองคงไม่เหมาะสม เพราะคนไทย ขาดวินัย ต้องจัดการให้ มีระบบการแพทย์ดูแล ผ่านไปได้ 14 วันคงจะปลอดภัย เพราะตัวเลขของไทยยังอยู่ประมาณ 43 คน ตาย 1 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่อันตรายนัก ยังควบคุมได้ ต้องดูว่าผีน้อยจะมีปัญหาต่อไปหรือไม่
ที่ผมเป็นห่วงคือเกาหลีใต้มีผู้ป่วยแล้ว 5,766 คน เสียชีวิตไปแล้ว 35 คน ทำให้ผู้นำเกาหลีวิตกมาก แต่ผมมั่นใจว่าในที่สุด ผู้นำเกาหลีคงแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ล่าสุดทราบว่าจะแก้ด้วยการใช้ App ทาง COVID-19 มาใช้ ต้องยอมรับว่าตัวเลขเกาหลีสูงมาก แต่กระจุกตัวในเมืองใหญ่ 2 เมือง คือเมืองแทกู และเมืองชองโด
ที่ญี่ปุ่น ตัวเลขสูงพอควร 331 คน ตาย 6 คน (ไม่นับในเรือ) ความสามารถของผู้นำและความมีวินัยคงจะแก้ได้
ผมเป็นห่วงอิหร่าน เพราะถูก Sanction คว่ำบาตรจากทรัมป์อย่างรุนแรง ปัญหาเรื่องความพร้อม ด้านการแพทย์ น่าวิตกมากอิหร่านมีผู้ป่วยสูงมากถึง 2,922 คน ตาย 92 คน จุดนี้น่ากลัวเพราะประเทศอิหร่านไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ซึ่งในยุคของมนุษยธรรม ทุกประเทศคงจะช่วยกัน
ประเทศในตะวันออกกลางก็น่ากลัว เช่น บาห์เรน คูเวต อิรัก UAE เลบานอน บางประเทศอยู่ในยุคสงครามอาจจะรุนแรงได้ โชคดีไม่มีซีเรีย ซึ่งถ้ามีคงจะยุ่งมาก เพราะแค่สงครามกลางเมืองก็ยุ่งแล้ว
ที่แปลกใจคืออเมริกามีตัวเลขสูง 159 คน ตายไป 11 คน ภายใต้การนำของทรัมป์ ไม่มีวันแก้ปัญหาได้ และแถมทรัมป์ยังเน้นเศรษฐกิจและเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2020 บอกว่าเดินทางเครื่องบินยังทำได้อยู่ ปัญหาที่อเมริกาคือ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์แพงมาก ถ้าบุคคลทั่วไปต้องมีประกันจึงตรวจอาการตลอด จำนวนคนป่วย
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐวอชิงตัน ซึ่งมีฐานะดี คงพอรับได้ แต่ถ้ากระจายไปยังกลุ่มยากจน เช่น คนผิวดำ คนผิวขาวที่ตกงาน หรือกลุ่มลาตินคงจะมีปัญหาเพราะค่าใช้จ่ายแพงมาก ต้องมีประกันจึงรักษาได้ และยังมีประธานาธิบดีที่ไม่รับผิดชอบ
สถานการณ์ผู้ป่วย COVID-19 ข้อมูล ณ วันที่ 5 มีนาคม 2563
ที่มา : https://www.worldometers.info/coronavirus/ และ https://travel.trueid.net/detail/EpwDxDy0Jd17
สรุป โลกาภิวัตน์ หรือ Globalization มีคุณประโยชน์มาก ในการเชื่อมโยงกันทางการค้า การแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยีห่วงโซ่อุปทาน แต่เรื่องโรคระบาดโดยผ่านโลกาภิวัตน์สร้างปัญหามากชนิดที่ผู้บริหารเปิดตำราไม่ทัน ยังดีที่องค์กรอย่าง IMF หรือธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก (WHO) เห็นใจคนในประเทศยากจนมีเงินทุนช่วยเหลือถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (50 billions USD) ซึ่งผมภูมิใจที่โลกร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหา ในที่สุดถ้าโลกร่วมกัน ทุกอย่างจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ ข่าวดีคือตัวเลขของจีนเริ่มนิ่ง เพราะจีนมีวินัย แก้ปัญหาได้เพราะผู้นำเข้มแข็ง
ผมมั่นใจว่า ญี่ปุ่น และเกาหลีคงแก้ได้ในที่สุด ที่ห่วงคือประเทศที่มีผู้นำอย่างทรัมป์ ซึ่งยังไม่เข้าใจเรื่องโรคติดต่อ สนใจมุ่งแต่เรื่องการเมือง เรื่องตลาดหุ้นมากกว่า ถ้าตลาดหุ้นลงอย่างมหาศาล ทรัมป์ก็ไม่ชนะ 2020 อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐอาจจะมีโอกาสทุ่มทรัพยากรมาช่วยโลกเรื่อง COVID-19 มากขึ้น
สัปดาห์นี้ ผมและทีมงานพร้อมด้วยทีมของเทพศิรินทร์ 8 คนมีโอกาสไปทำงานให้โรงเรียนเทพศิรินทร์ในภาคเหนือ 2 แห่ง เรียกว่ากิจกรรมการโค้ชและให้คำปรึกษาโรงเรียนเทพศิรินทร์และเครือข่าย(Debsirin Coaching and Mentoring Day) ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์เชียงใหม่ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 และที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙โครงการหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2563
ผมภูมิใจมากที่ได้ทำงานให้โรงเรียนเก่าผมในฐานะมนตรี เทพศิรินทร์ ยังคิดว่าวิธีการเอาผู้ปกครองนักเรียน และครู มาร่วมกันคิดและฟังในสิ่งที่เป็นความจริง ให้รับข้อมูลที่ถูกต้อง น่าจะเป็นรูปแบบการพัฒนาการศึกษาที่เหมาะสมที่สุด มีผู้บริหารมาฟังด้วย ผมมั่นใจว่าวิธีการแบบนี้ไม่ใช่แค่โรงเรียนเทพศิรินทร์ 10 แห่ง เทพศิรินทร์โมเดลน่าจะเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนทั้งประเทศ
ถึงจะเดินทางไกล เพราะโรงเรียนเทพศิรินทร์ 2 แห่งในเชียงใหม่ระยะทางห่างกัน 4 ชั่วโมง แต่ความสุขคือได้เห็นความมุ่งมั่นของผู้ปกครอง ครู นักเรียนและผู้บริหารร่วมมือกัน
โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ ได้เสนอโครงการ Active Learning เปิดเสรีการเลือกชุมนุมกิจกรรม โครงการพัฒนาศักยภาพกรรมการนักเรียนและโครงการส่งเสริมครูให้เป็นแบบอย่างด้านประชาธิปไตย ส่วนโรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙ โครงการหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ได้เสนอโครงการลดกิจกรรมเพิ่มเวลาการเรียนรู้ โครงการร่วมมือภาคี 4 ฝ่าย (ผู้อำนวยการครู นักเรียนและผู้ปกครอง) เพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ โครงการค่ายพัฒนาบุคลิกภาพและโครงการการใช้ Social Media ที่เหมาะสมสำหรับนักเรียน กิจกรรมต่อเนื่องจากงานครั้งนี้จะจัดร่วมกันทั้งสองโรงเรียนในคราวต่อไป เช่น จัดอบรมเรื่องการเรียนแบบคิดเป็นวิเคราะห์เป็นแบบ 4L’s หรือ Active Learning สุดท้ายต้องมีโครงการต่อเนื่องที่ปฏิบัติได้ การสู้กับโรค COVID-19 ก็จำเป็น การศึกษาก็สำคัญ ต้องให้เด็กไทยคิดเป็นวิเคราะห์เป็น อาจารย์ต้องทุ่มเทให้เด็ก ผู้ปกครองควรกระตุ้นให้เด็กคิดเป็นมากกว่าถามว่าสอบได้กี่คะแนน และการศึกษาต้องมีธรรมาภิบาล
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
ภาพบรรยากาศ กิจกรรม Debsirin Coaching and Mentoring Day ของโรงเรียนเทพศิรินทร์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 และโรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙ โครงการหลวงในพระบรมราชูปถัมป์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี