ทันทีที่กระทรวงการคลัง ออกแนวคิดกำหนดนโยบายทุ่มเงินนับแสนล้านเพื่อแจกให้ประชาชน 14 ล้านคน เพื่อสู้ผลกระทบ โควิด-19
รัฐบาลก็มีแนวคิดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเบื้องต้นนำเงินเดือนของรัฐมนตรีมาบริจาค และหากประชาชนจะร่วมบริจาคเงินสมทบที่บัญชีของธนาคารกรุงไทยก็ได้
จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความย้อนแย้ง ว่ารัฐบาลจะนำเงินภาษีประชาชนไปแจกประชาชน แต่ขณะเดียวกันก็เชิญประชาชนร่วมบริจาคเงินเพื่อไปสู้ภัย โควิด-19 ทำไมจึงไม่เอาเงินภาษีไปใช้ในการต่อสู้กับโรคติดต่อโดยตรง ?
หากจะช่วยอธิบายแทนรัฐบาล ก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นคนละส่วนกัน คือ กระทรวงการคลังต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา จากผลของโรคระบาด
เมื่อ “ คิดอะไรไม่ออก ก็แจกเงิน” เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลก็ได้หน้า ได้ตา ได้เครดิตในระบบอุปถัมภ์
ส่วนการต่อสู้กับโรคร้าย รัฐบาลก็มีเงินภาษีอีกส่วนอยู่แล้ว แต่ถ้าได้แสดงการเสียสละเงินเดือน 1 เดือนของคณะรัฐมนตรีแล้วใครอยากสมทบด้วยก็ยิ่งดี
บทความนี้ ไม่ประสงค์จะจับผิดรัฐบาล ถึงความย้อนแย้งขัดกันในนโยบายและมาตรการดังกล่าว แต่ต้องการจะเสนอแนะรัฐบาลและทางเลือกของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ใช่การแจกเงินอย่างเดียว
1. การจ่ายเงิน เป็นนโยบายที่สิ้นคิด คือ ไม่ต้องคิด เพราะสะดวกรวดเร็วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและก็หวังว่าเงินนับแสนล้านก็จะกระจายเพื่อจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็พอจะได้ผลอยู่บ้าง
แต่การแจกเงินก็มีข้อเสีย คือ เสียโอกาสที่จะนำเงินภาษีดังกล่าวมาใช้พัฒนาปรับปรุงความสามารถในการผลิตหรือความสามารถในการแข่งขัน เพื่อการเจริญเติบโตของชาติโดยรวม ยิ่งกว่านั้น การแจกเงินเป็นการทำลายหรือตอกย้ำวัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ ที่ให้ประชาชนหวังพึ่งพิง พึ่งพานายผู้มีอำนาจมีทรัพยากร แทนที่จะพึ่งพาตนเอง พัฒนาความสามารถความมั่นใจตนเอง แล้วระยะยาวสังคมไทยประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
2. การแจกเงิน ถ้าพัฒนาขึ้นเป็นการสร้างระบบ เพื่อเป็นสวัสดิการอย่างถาวรและเอื้อความมั่นคงในการดำรงชีวิตของคนจน ก็คงจะดีกว่าการแจกเงินแบบดิบๆ เปล่าๆ เปลือยๆ แต่ก็คงไม่ทันกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพราะสังคมของเราไม่ค่อยจะคิดแก้ไขที่ระบบซึ่งต้องมองการณ์ไกล แต่นิยมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละครั้งอยู่แล้ว
3. หากรัฐบาลจะไม่นำเงินนับแสนล้าน ละลายไปกับการแจกเงิน และเสี่ยงที่เงินจะกลับไปกระจุกอยู่กับนายทุนที่เป็นเจ้าของกิจการที่เข้าถึงชาวบ้านอยู่แล้ว หรือกระจุกอยู่กับนายทุนที่รับชำระหนี้เงินกู้
1) รัฐบาลควรคิดที่จะนำเงินงบประมาณดังกล่าว มาพัฒนาทางเท้า (ฟุตบาท) ของประชาชนทั้งคนเมืองและคนชนบท
ทางเท้าในเมืองใหญ่และเมืองเล็กของไทย คนเดินเท้าจะต้องเผชิญสภาพปัญหาคล้ายการเดินป่า ต้องเผชิญกับพื้นที่สูงต่ำไม่เรียบ คนเดินต้องก้าวขึ้น-ลงตลอดเวลาพื้นผิวก็ไม่เรียบเป็นหลุมเป็นบ่อ
เดินตรงๆก็ไม่ได้ ต้องเลี่ยงโยกตัวออกขวา-ซ้าย เพื่อหลีกเลี่ยงโต๊ะม้าหินที่ร้านค้านำมาวาง แล้วยังพบกระถางต้นไม้และข้าวของวางขายอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น ร้านค้าจับจองทางเท้า (ฟุตบาท) เสมือนเป็นที่ของตนเองปรับระดับให้สูงกว่าปกติ บางแห่งก็ปูกระเบื้อง วางต้นไม้และม้านั่งเล่น
ทำให้คนเดินเท้าต้องเดินลงถนนเป็นช่วงๆ เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนทางเท้า ก็จะพบทางเท้าขาดตอน ที่เว้นทางรถยนต์เข้าบ้านของผู้ที่อยู่ริมถนน
เดินขึ้นทางเท้าอีกครั้ง ก็ต้องคอยหลบป้ายโฆษณา ป้ายประชาสัมพันธ์ สายไฟ สายโทรศัพท์ ตู้โทรศัพท์
ตาก็ต้องดูพื้น เพราะอาจลื่นไปกับทางเท้าที่มีคนราดน้ำ น้ำมันหรือของเหลวต่างๆ
ในเมืองใหญ่ จะเดินข้ามถนนก็แสนยากลำบาก เพราะเราออกแบบการสัญจรโดยให้รถยนต์ได้สิทธิ์บนถนนก่อนคนเดินเท้า ประชาชนคนเดินเท้าต้องปีนบันไดขึ้นสะพานลอยแล้วปีนบันไดลงสะพานลอย
ความจริง สภาพจราจรในเมืองใหญ่ที่รถยนต์หนาแน่นติดขัดอยู่แล้ว ทางเดินข้ามถนนที่เรียกว่าทางม้าลายก็ไม่ทำให้รถยนต์ติดมากขึ้น หากพัฒนาให้ดี มีไฟสัญญาณและเสียงสัญญาณให้เป็นระบบ จะช่วยได้มาก และประหยัดกว่าสะพานลอยคนเดินข้ามถนนที่ใช้งบประมาณเป็น 10 ล้านบาทต่อแห่ง
หลายประเทศ เมื่อคนเดินเท้าได้สัญญาณข้ามถนนจะมีหมุดยกสูงขึ้น เพื่อกันไม่ให้รถยนต์ฝ่าไฟแดงเข้ามา ในประเทศญี่ปุ่นมีหลายเมืองถึงกับมีจังหวะไฟแดงทุกแยกให้รถหยุดพร้อมกัน ทั้งนี้เพื่อให้คนสามารถเดินข้ามแยกทั้งทางตรงและทแยงได้เป็นการระบายคนข้างถนนในเขตที่มีผู้คนหนาแน่น
การพัฒนาทางเท้าและระบบเพื่อคนเดินเท้าทุกเมืองในประเทศไทยที่มีจำนวนหลายร้อยเมือง หากทำเสียพร้อมๆกันจะเป็นการใช้งบประมาณหลายหมื่นล้าน ที่จะนำไปใช้จ่ายจ้างงานได้อย่างรวดเร็วพอสมควร
เครื่องจักรขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถดำเนินงานลักษณะนี้ได้ การจ้างงานบริษัทเล็กบริษัทใหญ่ก็สามารถทำได้ทั่วถึง และเงินจะตกเป็นรายได้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานเพื่อจับจ่ายใช้สอยต่อไป
สังคมไทยก็จะได้การพัฒนาทางเท้าที่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย ที่ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึง 30% ของประชากรทั้งประเทศใน 15 ปีข้างหน้า
การปรับสภาพทางเท้าจะได้ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานจากการปรับสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งคนสูงอายุ คนพิการ เด็กและคนหนุ่มสาว
2) ประเทศไทยจะเกิดภาวะแห้งแล้ง น้ำขาดแคลนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และในอนาคตก็จะเกิดภัยแล้งเป็นระยะๆ เกือบทุกปีอย่างแน่นอน
การจะพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้มีน้ำต้นทุนมากขึ้นเป็นเรื่องยากลำบาก ขณะเดียวกันระบบจัดสรรน้ำในปัจจุบันทั้งคลองซอย คลองไส้ไก่ที่ส่งน้ำถึงไร่นา ประเทศของเราก็หยุดพัฒนาไปนานแล้ว
หากกระจายงบประมาณให้แต่ละท้องถิ่น สร้างแหล่งน้ำขนาดย่อมไม่ว่าจะเป็นฝายน้ำล้น สระหรือบ่อน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน (ทั้งระบบเปิดและระบบปิด) หรือแหล่งน้ำขนาดเล็กอื่นๆที่เหมาะสมสอดคล้องกับท้องถิ่นโดยด่วน ก็จะเป็นการกระจายงานและกระจายเงินไปในชุมชนชนบท เกิดทั้งงานเกิดทั้งการรวมตัวของชุมชนท้องถิ่นในการทำกิจกรรมในเรื่องน้ำที่เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งอยู่แล้ว
การพัฒนาคลองซอย คลองไส้ไก่ เพื่อการส่งน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละชุมชนก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน
การส่งเสริมให้ชุมชนบริหารจัดการน้ำด้วยตัวเขาเอง ให้มีการเก็บค่าน้ำ แล้วนำเงินเข้ากองทุนพัฒนาน้ำของชุมชนท้องถิ่นของเขาเอง ก็น่าจะเกิดประโยชน์
เพราะผู้ใช้น้ำที่อยู่ต้นน้ำก็จะไม่ใช้น้ำมากเกินจำเป็น เพราะต้องเสียค่าน้ำมากขึ้นปลายน้ำก็จะได้รับจัดสรรน้ำที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน หากระบบการจ่ายค่าน้ำมิได้นำเงินออกนอกชุมชนหรือเข้าสู่ส่วนกลางชาวบ้านจะรับได้ เพราะปกติชาวบ้านก็ทำระบบเหมืองฝายที่มีการจ่ายค่าน้ำในรูปของข้าว หรือในรูปของแรงงานที่มาทำงานสร้างและปรับปรุงเหมืองฝายอยู่แล้ว
ทั้งนี้ เป็นตัวอย่างเป็นทางเลือก หากจะไม่ใช้นโยบาย “มาตรการสิ้นคิด” ที่แจกเงินอย่างเดียว แต่สามารถพิจารณาทางเลือกอื่นที่ได้ทั้งการกระจายเงิน กระจายงานกระจายอำนาจการตัดสินใจและได้ผลิตผล ผลิตภาพ (productivity) แก่ประเทศ ทั้งแก้ปัญหาระยะสั้นและสอดคล้องกับปัญหาระยะยาว
เราจะได้ไม่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วย“มาตรการสิ้นคิด” แจกเงินอย่างเดียวให้เป็นที่เย้ยหยันอีกต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี