จำนวนผู้ป่วยใหม่โรคโควิด-19 ในแต่ละวัน ที่ขึ้นไปถึงระดับ 15,000 ราย รวมทั้งมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตแตะระดับ 130 รายต่อวัน ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความหวาดวิตก ต่อการที่ตัวเองจะได้รับเชื้อร้ายและป่วยเป็นโรคเท่านั้น แต่ย่อมกระทบไปถึงรัฐบาลที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นตัวแทนในการรับผิดชอบในเรื่องของการดูแลสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก
เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าการที่ประเทศเราได้ก้าวมาสู่ระยะอันตราย ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ เป็นผลมาจากการประเมินสถานการณ์ของรัฐที่ไม่ดีเพียงพอ รวมทั้งการปฏิบัติตัวของประชาชน ส่วนหนึ่งของประเทศด้วย หลังจากประเทศไทยได้ผ่านพ้นการระบาดระลอกแรกอย่างดี จนเกิดเป็นความประมาทของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
การที่ไม่ได้มีการจัดหาวัคซีนเข้ามาให้เพียงพอสำหรับฉีดให้กับประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกนั้น ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่มีการระบาดในระลอกที่ 3 เกิดขึ้น จำนวนของผู้ป่วยใหม่ซึ่งเกิดขึ้นแต่ละวัน และมีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกันนั้น เป็นสิ่งบอกเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากวัคซีนได้อย่างเพียงพอ และภูมิคุ้มกันหมู่ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ความกระตือรือร้นของภาครัฐในการจัดหาวัคซีนให้มีปริมาณมากเพียงพอนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการระบาดในปลายระลอกที่ 2 จากเดิมที่รัฐวางแผนว่าจะใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นตัวหลัก แต่จากความล่าช้าในการส่งมอบ จึงได้มีการจัดหาวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนเข้ามาเพิ่มเติมและเป็นวัคซีนตัวแรกที่ถูกฉีดให้กับคนไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นับว่าไม่ทันการเสียแล้ว รวมทั้งในเรื่องของจำนวนวัคซีนที่จัดหาเข้ามา ซึ่งส่งผลกระทบให้การที่จะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนให้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยเริ่มในประชากรกลุ่มเสี่ยงก่อน คือบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และกลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 โรค ไม่สามารถจะดำเนินการตามเป้าหมายได้
การประกาศวาระการฉีดวัคซีนแห่งชาติของนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความชื่นชม และมองเห็นความหวังว่าตัวเองจะได้รับการดูแลที่ดีจากรัฐบาล ในการป้องกันเขาเหล่านั้นไม่ให้ป่วยเป็นโรคหรือมีอาการรุนแรง ถึงแม้ว่าจะได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไปในร่างกาย ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นความจริงได้ค่อนข้างยากเสียแล้ว
จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งผ่านวันประกาศวาระแห่งชาติไปแล้วประมาณ 50 วัน คือเกินกว่าระยะเวลา 1 ใน 3 ของจำนวน 120 วัน ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนยังอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านรายเท่านั้น ซึ่งนับรวมตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนในระยะเริ่มต้นด้วยตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจำนวนวัคซีนที่ฉีดได้ในแต่ละวันก็ไม่เคยถึง 400,000 รายตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ การจะฉีดให้ได้ถึง 50 ล้านรายภายในเดือนตุลาคม จึงไม่น่าจะเป็นไปได้
ผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขที่มีส่วนรับผิดชอบเรื่องของการจัดหาวัคซีน ได้ออกมารับสารภาพแล้วว่า การจัดหาวัคซีนที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีจำนวนเข้ามาเพียงพอนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากการสั่งซื้อที่ล่าช้า และสัญญาการจัดซื้อที่ไม่ชัดเจนในเรื่องของจำนวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมีการระบาดอย่างรุนแรง รวดเร็ว และมีผู้เสียชีวิตแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ทำให้ขวัญของประชาชนย่อมเสียไปพอสมควร เสียงของการตำหนิติเตียนจากหลายภาคส่วน ผสมกับความแตกแยกของประชาชนในแนวความคิดของการปกครอง ทำให้ความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มีปฏิกิริยาต่างๆ เกิดขึ้นในกระแสสังคมในหลายรูปแบบ ซึ่งแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว ในยุคที่ข่าวสารสามารถเดินทางทางอากาศผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้ ข่าวต่างๆ ทั้งที่จริงและไม่จริงแพร่สะพัด เพียงแต่ว่าความเชื่อของประชาชน จะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่สามารถจะห้ามกันได้
เมื่อการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ดำเนินมาได้ระยะหนึ่ง ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เชื้อที่เกิดขึ้นในรอบใหม่นี้เป็นไวรัสกลายพันธุ์ ที่เรียกว่า สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งสามารถจะระบาดได้อย่างรวดเร็วและง่ายกว่าเดิม ตลอดจนมีอาการทางปอดที่รุนแรง และวัคซีนที่เราใช้อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะวัคซีนซิโนแวคใช้ไม่ได้ผลดี ในการลดอาการรุนแรงของเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยมีหลักฐานปรากฏว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนนี้ มีการติดเชื้อและเจ็บป่วยน้อยจนถึงขั้นรุนแรงจำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนผลก็ยังดีกว่ามากแต่ก็ทำให้เกิดความหวาดวิตก และเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพดีกว่าเดิมเข้ามาทดแทน
ประกอบกับมีหลักฐานจากการติดตามผลการฉีดวัคซีนของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ทำให้ทราบว่าการได้รับวัคซีน 2 โดสนั้น ในส่วนของวัคซีนซิโนแวค หลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 3-4 เดือน จะมีการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันค่อนข้างมาก ซึ่งไม่เพียงพอต่อการต้านเชื้อกลายพันธุ์สายเดลต้าได้ดี แต่ในส่วนของวัคซีนแอสตราเซเนกานั้น ยังให้ผลที่ครอบคลุมการรักษาเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีพอสมควร จึงเป็นที่มาของการให้มีการไขว้การฉีดวัคซีนรวมทั้งการฉีดบูสเตอร์โดส โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว หากพ้นระยะ 1 เดือนหลังเข็มที่ 2 ก็ให้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเพิ่ม 1 เข็ม หรือเมื่อมีวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอเข้ามาแล้ว ก็ให้ฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอเป็นบูสเตอร์โดสได้ ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็ม พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 เดือนนั้น ยังมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูงเพียงพอในการต่อต้านเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ จึงไม่จำเป็นต้องฉีดบูสเตอร์โดสเพิ่มเติม
การระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็วของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนมีจำนวนเตียงไม่พอเพียงต่อการรับผู้ป่วย ซึ่งในแต่ละวัน จะมีจำนวนสะสมของการรอคอยเตียงทั้งในโรงพยาบาล ฮอสพิเทล หรือโรงพยาบาลสนามมากขึ้นจนไม่มีเตียงรองรับที่เพียงพอ นอกจากนั้นการนำชุดตรวจสอบการติดเชื้อด้วยตัวเองหรือที่เรียกว่า ราพิดแอนติเจน เทสต์ มาใช้ ทำให้ค้นพบผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัญหาการขาดแคลนเตียงขึ้นไปไปสู่จุดวิกฤติ และเริ่มมีรายงานผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ที่บ้านเนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้
การระดมความคิด โดยศบค.เป็นแกนกลางร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้เห็นชอบร่วมกันที่จะได้จัดให้มีการกักตัวผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยในรูปแบบของ โฮมไอโซเลชั่นคือกักตัวเองที่บ้านและคอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น คือกักตัวในชุมชน โดยการกักตัวทั้ง 2 รูปแบบนี้รัฐบาลจัดให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน
รวมทั้งคลินิกที่อยู่ตามชุมชนต่างๆ ช่วยกันรับผิดชอบดูแลรักษาติดตามอาการผู้ป่วย โดยมีข้อบ่งชี้คืออายุไม่เกิน 60 ปี เป็นผู้ที่ไม่มีอาการ สุขภาพร่างกายแข็งแรง พักอยู่คนเดียวหรือแยกตัวในบ้านได้ ไม่มีโรคร่วม คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และเบาหวานที่คุมไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่ไม่มีภาวะอ้วน และมีความยินยอม ผู้ป่วยที่ถูกกักตัวแต่ละคนจะได้รับเครื่องวัดไข้และวัดระดับออกซิเจนในเลือดให้กับตัวเอง รวมทั้งมีการจัดอาหารให้วันละ 3 มื้อ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยแพทย์ที่รับผิดชอบจะติดตามอาการผู้ป่วยผ่านวีดีโอคอล โดยขณะนี้มีผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการกักตัวที่บ้านแล้วจำนวนหลายพันราย และมีการจัดตั้งศูนย์กักตัวในชุมชนประมาณ 50 แห่ง เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวเองที่บ้านได้
เชื่อกันว่าการจัดให้มีการกักตัวเองที่บ้านและกักตัวเองในชุมชนนั้น จะช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าผู้ที่ถูกกักตัวอยู่มีโอกาสที่อาการจะเปลี่ยนแปลงจากกลุ่มสีเขียวซึ่งไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยและไม่ลงปอด ไปเป็นกลุ่มสีเหลืองเข้มหรือเป็นสีแดงได้ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเข้าสู่การรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งก็จะต้องรอคิวของการเข้านอนเหมือนเดิมเพียงแต่อาจจะใช้เวลารอคอยเตียงลดน้อยลงกว่าเดิม เพราะทุกโรงพยาบาลในขณะนี้มีเตียงสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิดเต็มอยู่โดยตลอด จนกระทั่งมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกรมควบคุมโรคแล้วว่า หากโรงพยาบาลใดตรวจคัดกรองแล้วพบผู้มีเชื้อจะต้องรับผู้นั้นเข้ารับการรักษา เนื่องจากเตียงที่มีอยู่ไม่พอเพียงนั่นเอง
การแก้ปัญหาที่แท้จริง จึงน่าจะอยู่ที่การลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้โดยเร็วที่สุดและก็ไม่มีวิธีการใดที่จะดีไปกว่าการเร่งระดมฉีดวัคซีนให้มากและเร็วที่สุดด้วย จะเห็นว่าความสำเร็จของเรื่องนี้จึงอยู่ที่จำนวนวัคซีน ที่รัฐจะจัดหาเข้ามาได้ ถึงแม้จะมีข่าวออกมาว่านอกจากวัคซีนของซิโนแวคซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ดีนัก แต่ก็ยังถือว่าเป็นพื้นฐานในการที่จะให้วัคซีนตัวอื่น ซึ่งฉีดเป็นเข็มที่ 2 สามารถจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นได้สูงและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ เช่นแอสตราเซเนกาหรือวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่นไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ก็ตาม เปรียบเสมือนการสร้างตึกซึ่งต้องมีการตอกเสาเข็ม ก่อนที่จะต่อโครงสร้างด้านบนขึ้นไป
แต่การจัดหาวัคซีนชนิดอื่นๆ เข้ามาของรัฐนั้น ถึงแม้จะมีการลงนามในสัญญาจัดหาแล้วก็จริง ก็ยังไม่สามารถจะนำเข้ามาได้เร็วนัก จนกว่าจะถึงเดือนตุลาคม ยกเว้นในส่วนของวัคซีนบริจาคซึ่งก็มีจำนวนไม่มากนัก และพุ่งเป้าให้เอาไปฉีดเป็นบูสเตอร์โดสให้กับบุคลากรด้านการแพทย์ รวมทั้งประชากรผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังก่อน
ความหวังของประชาชนทั่วไปที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว จึงเป็นความหวังที่เป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดกระแสเรียกร้องทางสังคมอย่างมากมาย รวมทั้งเกิดการกล่าวหาว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขาดประสิทธิภาพ ในการดำเนินการเพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ในส่วนของภาค
เอกชน ถึงแม้จะมีการผ่อนปรนให้สั่งวัคซีนเข้ามาเพื่อให้เป็นวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนที่มีกำลังซื้อได้เอง แต่ก็ยังติด ปัญหากระบวนการทางราชการ รวมทั้งแนวปฏิบัติระดับสากล ซึ่งยังระบุว่า การใช้วัคซีนในขณะนี้เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งการจัดหานั้น ต้องเป็นการดำเนินการในลักษณะของ
รัฐต่อรัฐเพียงเท่านั้น
คงจะไม่มีวิธีการใดที่ดีที่สุดในขณะนี้ ที่จะควบคุมการระบาดให้ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว จึงคาดว่าตัวเลขของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่จะอยู่ในระดับนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ก็ได้เพียงแต่หวังว่าการทยอยฉีดวัคซีนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ถึงแม้ว่าจะไม่รวดเร็วนัก ด้วยเหตุติดขัดที่จำนวนวัคซีน ก็ยังพอจะช่วยให้การระบาดไม่รุนแรงจนเกินไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ จึงอยู่ที่ภาคประชาชนในการที่จะดูแลและปกป้องตัวเองจากการติดเชื้อโรคร้ายนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะในเรื่องของ การใส่หน้ากากอนามัยเกือบจะตลอดเวลา การอยู่ห่างจากผู้คนแม้แต่คนรู้จักหรือคนในครอบครัวเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถึงแม้จะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะลักษณะครอบครัวของคนไทยและวิถีชีวิตไทยนั้น เป็นเรื่องที่ยากต่อการที่จะแยกตัวอยู่ห่างจากกัน ซึ่งก็ปรากฏชัดเจนแล้วว่า การระบาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เกิดขึ้นจากการระบาดในครอบครัวมากที่สุด
การแยกกักตัวที่บ้านและในชุมชน จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทางเท่านั้น การระดมฉีดวัคซีนให้รวดเร็วที่สุด มากที่สุด และทั่วถึงที่สุดให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยวัคซีน
ที่หามาได้โดยเร็วที่สุดนั้น เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสกัดกั้นการระบาดของเชื้อไวรัสร้ายได้ในขณะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี