การเร่งระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนให้เร็วและมากที่สุดนั้น เป็นหนทางสำคัญที่สุดในการที่ประเทศต่างๆ จะเอาชนะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงในปัจจุบันนี้ ที่เรียกกันว่าโรคโควิด-19 ซึ่งตามหลักการของทฤษฎีระบาดวิทยา จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ถึงจำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรของประเทศนั้นๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนแต่ละคนมีภูมิคุ้มกันตัวเอง ยังจะทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น ทำให้เชื้อโรคที่ระบาดอยู่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนก็ไม่สามารถจะทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ และเชื้อจะอ่อนแอลงไปตามลำดับ และในที่สุดความน่ากลัวของไวรัสร้ายตัวนี้ก็จะลดหายไป จนกลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่นเท่านั้น และไม่ทำให้ผู้ติดเชื้อ มีอาการรุนแรงอีกต่อไป
ทุกประเทศทั่วโลกยังคงถือว่าการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นภารกิจที่สำคัญในการที่จะเอาชนะโรคนี้ได้และถึงแม้ว่าจะมีวัคซีนหลายชนิดและจากหลายแห่งทั่วโลกได้ถูกนำมาใช้แล้ว แต่ก็พบว่าปริมาณการผลิตยังไม่เพียงพอต่อการกระจายในแต่ละประเทศให้พอเพียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศด้อยพัฒนา ยังได้รับวัคซีนน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะมีโครงการความร่วมมือในการจัดหาวัคซีนให้กับประเทศเหล่านั้นที่เรียกว่าโคแวกซ์ แต่ก็พบว่ายังไม่สามารถจะหาวัคซีนบริจาคได้มากเพียงพอ
โรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ของประเทศไทย ได้รับการพิจารณาจากบริษัทแอสตราเซเนกาซึ่งได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แห่งประเทศอังกฤษ ในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่เรียกกันว่า วัคซีนแอสตราเซเนกา ว่าเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานต่อการผลิตวัคซีนดังกล่าว และเป็นหนึ่งในโรงงานหลายแห่งของบริษัทฯที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งแต่ละแห่งจะมีกำลังการผลิตที่ไม่เท่ากัน
ระยะแรกที่มีการระบาดของโรคนี้ ประเทศไทยได้สั่งจองวัคซีนของบริษัทนี้ซึ่งวัคซีนลอตแรกมาจากโรงงานในประเทศเกาหลี แต่หลังจากที่โรงงานในประเทศไทยได้ฤกษ์เปิดสายการผลิตแล้ว จึงมีการสั่งวัคซีนผ่านบริษัทแอสตราเซเนกาจากโรงงานในประเทศไทยด้วย น่าเสียดายที่จำนวนการสั่งในครั้งแรกและที่วางแผนการใช้ในปีนี้ไม่มีความชัดเจน โดยมีการแถลงข่าวออกมาในเบื้องต้นว่าจะมีการส่งวัคซีนลอตแรกให้ประเทศไทยจำนวน6.1 ล้านโดส ในเดือนมิถุนายน และในเดือนต่อๆ ไป ตั้งแต่กรกฎาคมเดือนละ 10 ล้านโดส แต่เมื่อมาถึงเดือนกรกฎาคมจริงๆ ปรากฏว่าบริษัทสามารถจะส่งวัคซีนให้ได้เพียงเดือนละประมาณ 5 ล้านโดสเท่านั้น เนื่องจากมีการสั่งจองมาก่อนแล้วจากประเทศอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เป็นผลมาจากคำสั่งและข้อตกลงที่ไม่ชัดเจนนั่นเอง
แผนการฉีดวัคซีนให้กับประชากรไทยของรัฐบาลซึ่งตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปีนี้จะมีประชากรมากกว่า 50 ล้านคน ได้รับการฉีดวัคซีนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะบรรลุเป้า ถึงแม้ว่าขณะนี้อาจจะมีการสั่งวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม 10.9 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยมาเพื่อใช้จนถึงสิ้นปีนี้ ด้วยเหตุผลว่าสามารถจะมาถึงประเทศไทยได้โดยเร็ว และจะได้รับวัคซีนบริจาคของแอสตราเซเนกา 1 ล้านโดส จากประเทศญี่ปุ่น 4 แสนโดส จากประเทศอังกฤษและวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะได้เพิ่มเติมอีก 1 ล้านโดส รวมเป็น 2.5 ล้าน ร่วมกับวัคซีนที่บริษัทแอสตราฯจะจัดส่งในแต่ละรอบเดือนเดือนละ 5 ล้านโดส ซึ่งหมายความว่าในเดือนสิงหาคม เราจะมีวัคซีนที่แน่นอนอยู่รวมทั้งสิ้น 8 ล้านโดส เท่านั้น
และเดือนกันยายนจะมีวัคซีนแน่นอนของแอสตราเซเนกาประมาณ 5 ล้านโดส ส่วนวัคซีนอื่นๆ นั้นจะเข้ามาประมาณเดือนตุลาคมเป็นอย่างเร็ว ก็หมายความว่าระยะเวลา 2-3 เดือนจากนี้ที่จะต้องฉีดให้ได้วันละประมาณ 4 แสนโดสตามเป้าเดิม ซึ่งจะต้องมีวัคซีนอยู่ทั้งหมดเดือนละ 12 ล้านโดส จะมีวัคซีนไม่พอเพียงอย่างแน่นอน และหากวัคซีนที่รัฐบาลกำลังทยอยสั่งเข้ามา มีความล่าช้ากว่ากำหนด ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าเป้าหมายของรัฐบาลย่อมไม่บรรลุอย่างแน่นอน
ในส่วนของการจัดฉีดวัคซีนในกรุงเทพมหานคร มีประชากรอยู่ในกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งสิ้น 7 ล้านคนเศษนั้น จนถึงปัจจุบันได้มีการฉีดไปแล้วมากกว่า 5.8 ล้านโดส คิดเป็นจำนวนประมาณ57 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้คือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง7 โรค ผู้ให้บริการด่านหน้า และที่เหลือเป็นส่วนน้อยคือประชาชนทั่วไปความสำเร็จในส่วนนี้ เป็นผลงานส่วนใหญ่ของสำนักอนามัยกรุงเทพมหานครในการบริหารจัดการ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็ยังคงมีการดำเนินการต่อไปอย่างเข้มแข็ง
ยังมีงานเชิงรุกซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่งของสำนักอนามัย คือการจัดตั้งทีมที่เรียกว่า ทีมเคลื่อนที่เร็วแบบเบ็ดเสร็จ (CCRT-Comprehensive Covid-19 Response Team) เป็นการบูรณาการความร่วมมือของศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเครือข่ายเอ็นจีโอในการลงพื้นที่เป้าหมาย 200 ชุมชน เพื่อเร่งระดมตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 และนำเข้าสู่ระบบการรักษา รวมถึงให้ผู้ป่วยได้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการกักตัวที่บ้านหรือศูนย์พักคอยชุมชนระหว่างรอการส่งต่ออย่างถูกต้อง รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง โดยให้บริการถึงที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องน่าชมเชยอย่างยิ่ง โดยประชากรกลุ่มดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วมากกว่า 6 หมื่นราย
ในส่วนของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ดำเนินการจัดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีโรคเรื้อรังและประชากรทั่วไป โดยจัดที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดระบบไม่ให้เกิดความแออัดโดยการลงทะเบียนล่วงหน้า และได้รับความร่วมมือจากบริษัทโทรศัพท์มือถือหลายราย ซึ่งก็จะทำให้จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดอย่างนี้ จะทำให้จำนวนของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้มของการระบาด ถึงเป้าหมาย 70% ของประชากรได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่มีข้อแม้เรื่องของจำนวนวัคซีนที่รัฐจัดหามาว่ามีความพอเพียงหรือไม่อย่างไร และหากมีการติดตามผลต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ แล้วพบว่ายอดจำนวนของผู้ป่วยติดเชื้อในกรุงเทพฯ ลดน้อยลงในแต่ละวัน นั่นก็หมายความว่าสิ่งเป็นความหวังของรัฐบาลในการลดการระบาดของโรคนี้เริ่มเป็นจริง นอกเหนือจากพื้นที่พิเศษบางแห่งที่รัฐได้เริ่มนำร่องเช่น จังหวัดภูเก็ต
ซึ่งขณะนี้จากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและประชาชน ทั้งการระดมฉีดวัคซีนจนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรและการใช้มาตรการในการคุมเข้มต่างๆ มีสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่าสามารถควบคุมการระบาดได้แล้ว ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการนำไปขยายผลในจังหวัดอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้ม
หากการจัดสรรงบประมาณของรัฐเพิ่มเติมจำนวนหลายพันล้านบาทเพื่อซื้อวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนเพิ่มเติม 10.9 ล้านโดสเพื่อนำมาฉีด ให้กับประชากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว เพื่อใช้เป็นฐานในการต่อยอดในการฉีดวัคซีนเข็มที่สองชนิดอื่น เช่นแอสตราเซเนกาเป็นจริง และวัคซีนที่ว่านี้เข้ามาสู่ประเทศไทยได้ภายในเดือนสิงหาคมก็น่าจะทำให้เป้าของประชากรที่จะต้องได้รับวัคซีนอีกประมาณ 10 ล้านคน ในเดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นจริงได้
รวมทั้งหากข่าวที่ สส. สหรัฐอเมริกาเชื้อชาติไทยได้ขอให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาควัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมจำนวน 1 ล้านโดสให้กับประเทศไทยเป็นจริง และวัคซีนนี้เดินทางมาถึงประเทศไทยไม่เกินต้นเดือนตุลาคมก็น่าจะทำให้เป้าของการฉีดวัคซีนในเดือนตุลาคมดีขึ้น ซึ่งจะทันการกับวัคซีนซึ่งรัฐบาลสั่งจากไฟเซอร์จำนวน 20 ล้านโดส และวัคซีนโมเดอร์นาที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนสั่งซื้อจำนวน 4 ล้านโดส กับของสภากาชาดไทยอีก 1 ล้านโดส ซึ่งจะเข้ามาพร้อมกันไม่เกินเดือนตุลาคมนั้น ก็จะทำให้เป้าหมายของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีน มีจำนวนใกล้เคียงที่จะถึงเป้า 70 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีของประเทศ อันจะทำให้เกิดสภาพของภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การระบาดของโรคนี้ลดน้อยลงและไม่เป็นปัญหาร้ายแรงอีกต่อไป
การเรียกร้องของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ในการที่จะให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่เชื่อว่าดีกว่าวัคซีนที่มีใช้อยู่เดิมในประเทศไทยที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอ นั้น ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งยังยอมรับในการที่จะได้รับการฉีดวัคซีนตามที่รัฐโดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดหาและวางแนวทางไว้ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่าการเริ่มต้นฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่หนึ่ง แล้วตามด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาใน 3-4 สัปดาห์ต่อมา หรือได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม และฉีดเสริมด้วยวัคซีนของแอสตราเซเนกา ก็มีผลให้เกิดมีภูมิคุ้มกันสูงมากเพียงพอต่อการลดอาการเจ็บป่วยรุนแรง ในกรณีที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้เช่นกัน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมโรคระบาดของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกข่าวเรื่องผลการฉีดวัคซีนในประชากรกลุ่มศึกษา และพบว่าถึงแม้จะได้รับวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอครบ 2 โดสแล้วก็ตาม หากมีการได้รับเชื้อเข้าไปมากและติดโรคขึ้นนั้น ปริมาณของเชื้อโรคที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนมีปริมาณไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด และยังแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นได้ เพียงแต่อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้นไม่รุนแรง ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ต่างกับการฉีดวัคซีนชนิดอื่นๆ ครบโดสเช่นกัน ทำให้ศูนย์ควบคุมโรคฯแนะนำว่าการสวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำยังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ในต้นสัปดาห์หน้า วัคซีนไฟเซอร์ซึ่งได้รับการบริจาคจำนวน 1.5 ล้านโดส จะถูกนำไปฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว จะได้รับการฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์เป็นเข็มบูสเตอร์เป็นกลุ่มแรก โดยบุคลากรกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 7 แสนราย กลุ่มที่สองจะเป็นกลุ่มประชากรเปราะบางที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย เป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 โรคที่อายุ 12 ปีขึ้นไป รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ ซึ่งยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนเลย จะได้รับการฉีดเป็นเข็มที่หนึ่ง ซึ่งมีจำนวนประมาณ 6.45 แสนราย
โดยพิจารณาจากพื้นที่เสี่ยงและมีการเสียชีวิตสูงก่อนจำนวน 13 จังหวัด ที่เหลืออีกประมาณ 1.5 แสนโดสจะฉีดให้กับชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยที่เป็นผู้สูงอายุ มี 7 โรคเรื้อรังและตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป รวมทั้งคนไทยที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศที่ระบุว่าจะต้องได้รับวัคซีนไฟเซอร์ วัคซีนที่เหลือเล็กน้อยจะใช้สำหรับการศึกษาวิจัย และสำรองสำหรับการตอบโต้การระบาดของเชื้อกลายพันธุ์
การสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ดีให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ด้วยความจริงใจ ยังเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่รัฐบาลโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องทำให้ได้ เพื่อไม่ให้กระแสเรียกร้องหรือความต้องการชี้นำของกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่กระทำผ่านสื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไขว้เขว และสร้างความไม่ไว้วางใจต่อการดำเนินการของภาครัฐ
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี