สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทยในช่วงนี้นับว่าหนักหนาสาหัสพอสมควร ตัวเลขของผู้ป่วยรายใหม่ที่เกินกว่า 21,000 รายในแต่ละวัน และมีผู้เสียชีวิตเกินกว่า 210 ราย ในบางวันแล้วนั้น เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักว่าความพยายามในการควบคุมการระบาดขณะนี้ได้ผลดีจริงหรือไม่
การป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสที่ดีที่สุด
คือการฉีดวัคซีนที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้มากเพียงพอต่อการต่อสู้กับโรคร้ายเป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่วไป เมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการคิดค้นพัฒนาวัคซีนที่จะใช้ในการต่อสู้กับโรคนี้ และก็ประสบผลสำเร็จ โดยวัคซีนที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั้นมี 4 รูปแบบใหญ่คือวัคซีนจากเชื้อตาย วัคซีนที่อาศัยไวรัสตัวอื่นเข้ามาช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิ วัคซีนที่ได้จากการนำชิ้นส่วนพันธุกรรมของไวรัสจากโรคนั้นมากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิ ซึ่งวัคซีนทั้ง 3 ชนิดนั้นได้รับการรับรองโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินแล้ว ส่วนชนิดสุดท้ายคือวัคซีนซึ่งใช้ชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัสนั้นเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโดยตรง ยังอยู่ระหว่างรอการรับรอง
ประเทศไทยได้นำวัคซีน ชนิดที่ 1 และ 2 คือวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม และวัคซีนแอสตราเซเนกามาฉีดให้กับประชาชนโดยตั้งเป้าว่า ภายในสิ้นปีนี้ประชาชนไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ หรือไม่น้อยกว่า 50 ล้านคน ต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และจะช่วยหยุดยั้งการระบาดที่เกิดขึ้นได้ รวมทั้งได้เริ่มนำวัคซีนชนิดที่ 3 ที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาค มาเริ่มฉีดให้กับประชาชนโดยเน้นเป็นการบูสเตอร์ให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ก่อน และจะเริ่มฉีดให้กับประชากรสูงวัยเกินกว่า 60 ปีและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมานั้นเป็นกลุ่มที่มีการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ เป็นลำดับถัดไป
ในส่วนของการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น ได้มีการจ่ายวัคซีนไปตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว โดยจะเริ่มฉีดได้ไม่น่าจะช้ากว่าวันจันทร์ที่ 9 นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ได้มีการสื่อสารวิธีการขนถ่ายวัคซีนและการจัดเก็บจากตู้เก็บอุณหภูมิติดลบประมาณ-70 องศาเซลเซียสไปยังโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องเก็บวัคซีนไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 องศา โดยจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน และเมื่อนำออกมาเพื่อผสมกับน้ำเกลือและฉีดให้กับผู้ที่จะได้รับการฉีดนั้น วัคซีนจะอยู่ในห้องที่อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาได้อีกไม่เกิน 2 ชั่วโมง จึงจะเกิดประสิทธิภาพที่ดี
ฉะนั้นเป็นเรื่องที่ทุกโรงพยาบาลต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องนี้ สำหรับจำนวนการจัดสรรวัคซีนไปยังกลุ่มต่างๆ นั้นเป็นผลมาจากการสำรวจความต้องการแล้ว ในส่วนของบุคลากรการแพทย์ จะได้วัคซีนประมาณ 7 แสนโดส จากที่ได้รับบริจาคมาทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านโดส ซึ่งก็เชื่อว่าจะทำให้บุคลากรการแพทย์มีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น และพร้อมที่จะระดมสรรพกำลังทั้งกายและใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้ดีที่สุดเหมือนที่ได้ทำมาตั้งแต่ต้น
จากปัญหาการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของหน่วยงานของรัฐ ทำให้การจัดหาวัคซีนเข้ามานั้นไม่ได้จำนวนตามเป้าหมายที่จะเป็น จึงทำให้การฉีดวัคซีนให้กับประชากรต่ำกว่าเป้าพอสมควรโดยถึงขณะนี้เพิ่งจะฉีดวัคซีนให้กับประชากรหลายกลุ่มไปได้เพียง
20 ล้านโดสเท่านั้น การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จึงยังไม่เกิดขึ้น โดยภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นเพียงพอกับผู้ได้รับการฉีดครบ 2 เข็มแล้ว ส่วนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเพิ่งได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว การสร้างภูมิอาจจะยังไม่พอเพียงต่อการป้องกันอาการรุนแรงจนถึงขั้นการเสียชีวิตได้ ถึงแม้ภาครัฐจะได้มีความพยายามจัดหาวัคซีนตัวอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ก็จะยังไม่สามารถจัดส่งเข้ามาก่อนเดือนตุลาคมได้ รวมทั้งวัคซีนซึ่งภาคเอกชนโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับรัฐในการนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นา ก็จะเข้ามาได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปเช่นเดียวกัน
ที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งคือในเดือนกันยายนนี้จะมีวัคซีนจำนวนเพียงพอต่อเป้าที่จะฉีดให้กับประชากรกลุ่มต่างๆ หรือไม่เพราะถ้าหากจะฉีดให้ได้เพียงพอนั้น จะต้องมีจำนวนวัคซีนมากกว่า 10 ล้านโดส และต้องฉีดให้ได้เฉลี่ยวันละประมาณ 4 แสนโดสขึ้นไป
การระบาดของไวรัสร้ายตัวนี้ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์เดลต้า จากเดิมที่ระบาดมากในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แล้วค่อยๆกระจายออกไปยังต่างจังหวัดจนครบทั้ง 77 จังหวัด แต่ตัวเลขปัจจุบันของการระบาดในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรได้รับการฉีดวัคซีนไปมากที่สุดแล้วเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังพบว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงเกินกว่า 4,000 รายต่อวัน โดยยังเป็นการระบาดในชุมชนและครอบครัวเป็นส่วนใหญ่
ถึงแม้ภาครัฐจะแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตัวตามแนวชีวิตวิถีใหม่ เมื่อมีการระบาดของโรคร้ายนี้ ทั้งในเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาในสถานที่สาธารณะหรือแม้แต่อยู่ในครอบครัว การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลโดยเฉพาะผู้ที่ไม่รู้จัก และการล้างมือให้บ่อยที่สุดด้วยน้ำยาที่ฆ่าไวรัสนี้ได้ก็ตาม แต่โดยสภาพความเป็นจริง วิถีชีวิตแบบครอบครัวไทยนั้นจะเป็นการอยู่ในเคหสถานที่โดยทั่วไปค่อนข้างจะมีความแออัดและคับแคบ การแยกตัวอยู่ในห้อง หรือทำกิจวัตรประจำวัน เช่นทานอาหารหรือการใช้ห้องน้ำแยกจากกันนั้น เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย การระบาดชนิดยกครอบครัวจึงเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นจำนวนมาก
การที่มีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นอย่างมากในแต่ละวันนั้น ส่งผลอย่างยิ่งต่อจำนวนเตียงของโรงพยาบาล ทั้งในส่วนของผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและอาการมาก ในแต่ละวันมีผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อไม่สามารถจะเข้าสู่ โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาได้ จึงเป็นที่มาของการสร้างโรงพยาบาลสนาม การเปิดให้เข้าพักรักษาในโรงแรมที่ดัดแปลงเป็นที่พักผู้ป่วยที่เรียกว่าโฮสปิเทล และในที่สุดก็นำมาซึ่งการสร้างระบบการกักตัวผู้ติดเชื้อในบ้านและชุมชนที่เรียกว่าโฮมไอโซเลชั่น และ คอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น โดยในกรุงเทพฯ นั้นเป็นความร่วมมือของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งชุมชนต่างๆ ตลอดจนกลุ่มเอ็นจีโอในพื้นที่กรุงเทพฯเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีเตียงรองรับการรักษาผู้ติดเชื้อในเบื้องต้น อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย
นับเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนเศษ ที่มีการเริ่มใช้ระบบการแยกกักตัวที่บ้านและชุมชน ซึ่งได้มีพัฒนาการให้ดีขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันนี้มีผู้ติดเชื้อได้ติดต่อขอเข้ารับการกักตัวและสังเกตอาการในโครงการดังกล่าวแล้วมากกว่า 1 แสนราย ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับการตรวจพบว่ามีเชื้อโดยการตรวจด้วยตัวเองหรือหน่วยตรวจต่างๆ นั้น สามารถจะติดต่อกับศูนย์ที่ดำเนินการเรื่องนี้ ผ่านเบอร์โทรศัพท์ 1330 ต่อ 14 ซึ่งจะมีผู้รับสายมากกว่า 200 คู่สาย หลังจากนั้นจะได้รับการบอกวิธีการดูแลรักษาตัวเองในเบื้องต้นและรอรับการติดต่อกลับจากศูนย์ดังกล่าวว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่เนื่องจากผู้ติดต่อไปมีเป็นจำนวนมาก การตอบกลับเพื่อเข้าสู่ระบบยังอาจจะมีความล่าช้าอยู่บ้างระหว่าง 1 ถึง 3 วันหรือหลังจากนั้นไม่นานนัก
ผู้ที่ได้รับการยืนยันให้พักรักษาโดยการกักตัวที่บ้านหรือชุมชนนั้นจะได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลหรือคลินิกชุมชนโดยรอบ โดยจะได้รับอุปกรณ์ในการดูแลตัวเอง คือเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย เครื่องวัดระดับออกซิเจนในกระแสเลือดและอาหาร3 มื้อ ตลอดจนยาที่ใช้ในการรักษาอาการตามความมากน้อยของอาการที่เป็นอยู่ โดยจะมีแพทย์ติดตามสอบถามอาการในแต่ละวันหากอาการรุนแรงขึ้น มีข้อบ่งชี้ว่าจะต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล ก็จะได้รับการประสานให้เข้าพักในโรงพยาบาลได้โดยศูนย์ที่รับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหม่ในเรื่องการให้บริการในระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากและประชาชนเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น มีจำนวนไม่น้อยที่แสดงความจำนงตั้งแต่ต้นในการขอพักรักษาด้วยการกักตัวเองที่บ้านหรือในชุมชน ซึ่งได้ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องการขาดแคลนเตียงในโรงพยาบาลไปได้เป็นอย่างมาก เป็นการแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติได้มากพอควร โดยระบบก็กำลังได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
การนำชุดตรวจตัวเองที่เรียกว่าราปิด แอนติเจน เทสต์หรือแอนติเจน เทสต์ คิท มาใช้นั้น ช่วยทำให้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อใหม่ ได้ง่ายและเป็นจำนวนมากขึ้นและมีความรวดเร็วกว่าเดิมในการแปรผล ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับรองที่จะให้ใช้ผลการตรวจดังกล่าวในการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลทุกระดับ รวมทั้งโรงพยาบาล โดยสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในระบบที่เรียกว่ายูเซ็ปโควิดได้ด้วย โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
ผู้ให้การรักษา
นอกจากนี้ผู้ที่มีประกันเจ็บป่วยของภาคเอกชน ก็สามารถจะได้รับการดูแลค่าใช้จ่ายจากบริษัทประกันได้ด้วย โดยในส่วนของการพักรักษาตัวที่บ้านและชุมชน สามารถจะเบิกจ่ายจากบริษัทประกันในลักษณะของผู้ป่วยนอกเป็นรายวันจนครบ 14 วันได้ ส่วนการรักษาในโรงพยาบาลสามารถจะเบิกจ่ายจากบริษัทประกันได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หากเกินกว่าวงเงินประกันสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนเกินให้
อย่างไรก็ตาม คำตอบสุดท้ายของความสำเร็จในการลดและควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ซึ่งก็จะทำให้ไม่เกิดผลกระทบต่อจำนวนเตียงในโรงพยาบาล ก็ยังคงอยู่ที่การระดมฉีดวัคซีนให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศให้เร็วที่สุด มากที่สุด ด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพที่ยืนยันตามข้อมูลทางวิชาการได้นั่นเอง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี