ความสุขของประชาชนชาวไทยกำลังทยอยกลับคืนมาแม้จะไม่รวดเร็วนักแต่ก็มากขึ้นตามลำดับหลังจากที่รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การยกเลิกเคอร์ฟิว และอนุญาตให้กิจกรรมและกิจการต่างๆ สามารถดำเนินการ ได้เกือบจะปกติ ยกเว้นยังไม่อนุญาตให้สถานบันเทิงและร้านอาหารประเภทผับบาร์เปิดขายได้อย่างปกติ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม เป็นต้นไป ก่อให้เกิดกระแสความไม่พึงพอใจแก่เจ้าของและพนักงานของกิจการพวกนี้อยู่บ้างก็ตาม แต่หลายฝ่ายก็ยังเชื่อว่าอาจจะมีการผ่อนปรนมากขึ้นหากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขล่าสุดของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศไทย เริ่มลงมาแตะระดับ 5,000 รายต่อวัน และผู้เสียชีวิตลงมาต่ำสุดที่ระดับต่ำกว่า 30 รายต่อวัน
รวมทั้งการที่เริ่มควบคุมการระบาดใน 4-5 จังหวัดทางภาคใต้ได้แล้วเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ดี โดยสิ่งที่เกิดขึ้นได้นั้นเป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาคประชาชน ไม่ว่าจะในเรื่องของการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ คือการสวมหน้ากากอนามัย การอยู่ห่างจากผู้คนโดยรอบ การล้างมือให้บ่อยที่สุด รวมทั้งการตรวจสอบตนเองกรณีที่สงสัย หรือแม้แต่เพื่อการคัดกรองด้วยชุดตรวจ ATK และที่สำคัญยิ่งคือการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้มากและเร็วที่สุด ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าภายในสิ้นปีนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสร้ายนี้ได้มากขึ้นแล้ว ยังจะมีผลให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศครอบคลุมในทุกพื้นที่ด้วย
ข้อมูลของการระดมฉีดวัคซีนของประชาชนในขณะนี้ มีผู้ได้รับการฉีดรวมกันทั้งสิ้นมากกว่า 92 ล้านราย ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว มากกว่า 48 ล้านราย ฉีดเข็มที่ 2 ไปแล้วมากกว่า 41 ล้านราย และมีผู้ที่ฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้วประมาณ 3.3 ล้านราย รวมทั้งยังมีประชาชนบางส่วนซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางด้านการแพทย์ ได้รับการฉีดเข็มที่ 4 หรือเข็มกระตุ้นไปแล้วอีกเป็นจำนวนมากกว่า1 หมื่นราย วัคซีนที่ถูกนำมาใช้ฉีดมากที่สุดคือวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์แอสตราเซเนกามากกว่า 41 ล้านรายตามมาด้วยวัคซีนชนิดเชื้อตายทั้งซิโนแวคและซิโนฟาร์มรวมกันประมาณ 40 ล้านราย และวัคซีนของไฟเซอร์ซึ่งเป็นเอ็มอาร์เอ็นเออีกประมาณ 11 ล้านราย และที่ได้เริ่มทยอยฉีดไปบ้างแล้วคือวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอของ
โมเดอร์นาอีกประมาณ 4 แสนราย
ซึ่งกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชนได้ขอให้องค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจัดซื้อตามแนวปฏิบัติสากล ซึ่งภาคเอกชนยังไม่สามารถจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิตได้โดยตรง เพราะขณะนี้ วัคซีนทุกชนิดที่มีอยู่ยังถือว่าเป็นการนำมาใช้ในสภาวะฉุกเฉิน การจัดซื้อระหว่างรัฐกับบริษัทผู้ผลิตนั้นจะทำให้เกิดการคุ้มครอง กรณีที่มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับผู้ได้รับการฉีดด้วย
สมาคมโรงพยาบาลเอกชนได้ประสานงานกับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอสั่งซื้อวัคซีนโมเดอร์นาจากบริษัทผู้ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564
โดยก่อนการจัดซื้อได้มีการสำรวจความต้องการของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งทั่วประเทศว่าต้องการวัคซีนจำนวนเท่าใด ซึ่งเมื่อมีการประกาศให้ประชาชนที่ต้องการได้รับวัคซีนตัวนี้เป็นวัคซีนทางเลือกด้วยความสมัครใจ ก็ต้องสั่งจองและชำระเงินให้กับแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งได้รวบรวมเงินทั้งหมดส่งให้กับองค์การเภสัชกรรม เพื่อสั่งซื้อวัคซีนรวมทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านโดส และในคราวเดียวกันนั้นสภากาชาดไทยก็ได้ขอสั่งซื้อรวมกันไปด้วยประมาณ1 ล้านโดส ถือว่าเป็นการจัดซื้อที่มีการชำระเงินล่วงหน้าโดยราคาที่จะซื้อนั้นอยู่ที่ 1,100 บาทต่อโดส ซึ่งรวมค่าประกันกรณีที่มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นด้วย และโรงพยาบาลเอกชนได้ร่วมกันกำหนดราคาขายที่โดสละ 1,650 บาท ซึ่งมากกว่าราคาสั่งซื้อประมาณ 550 บาท เพราะต้องบวกค่าดำเนินการ และกำไรบางส่วนตามที่ควรจะเป็นด้วย
หลังจากที่มีการสั่งซื้อไป ก็ได้รับทราบจากบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยว่าวัคซีนตัวนี้จะเข้ามาถึงเมืองไทยในช่วงต้นเดือนตุลาคม แต่เมื่อถึงระยะเวลาดังกล่าว กลับปรากฏว่าบริษัทตัวแทนจำหน่ายไม่สามารถดำเนินการให้วัคซีนเข้ามาถึงตามเวลาที่บอกไว้ได้ โดยแจ้งว่าความต้องการของวัคซีนทั่วโลกมีเป็นจำนวนมาก ทำให้การผลิตอาจจะไม่พอเพียง จำเป็นต้องเลื่อนการส่งวัคซีนเข้ามาสู่ประเทศไทย ซึ่งก็ปรากฏว่าวัคซีนนี้ลอตแรกจำนวน 6 แสนโดส เข้ามาถึงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน หลังจากผ่านการตรวจคุณภาพตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยา ของกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว จึงได้ทยอยส่ง ให้กับโรงพยาบาลเอกชน และเริ่มต้นการฉีดให้กับประชาชนที่จองไว้ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นมา โดยโรงพยาบาลต่างๆ ได้จัดคิวให้ผู้สั่งจองเข้ามาได้รับการฉีดตามลำดับของการจอง ผู้ที่จองไว้ในคิวต้นๆ ของแต่ละโรงพยาบาล จะมีโอกาสเลือกวันจองฉีดก่อน ตามช่วงระยะเวลาที่โรงพยาบาลได้กำหนดไว้
จากการที่วัคซีนเข้ามาล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งจองวัคซีนไว้ ไม่อาจจะรอวัคซีนโมเดอร์นาเพื่อการฉีดเป็นเข็มแรกได้ ประกอบกับในช่วงเวลานั้นภาครัฐจัดหาวัคซีนหลายชนิดเข้ามาได้ และได้เปิดให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนของภาครัฐได้ด้วยช่องทางที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้ผู้จองจำนวนหนึ่งเข้ารับการฉีดวัคซีนตัวใดตัวหนึ่งที่ภาครัฐจัดหาไว้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายไปก่อน จากข้อมูลที่ปรากฏพบว่ามีประชาชนจำนวนหลายหมื่นราย ที่ขอโอนสิทธิในการฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้ผู้อื่น และมีอีกเป็นจำนวนมากเช่นกันที่แจ้งขอเลื่อนการฉีดวัคซีนชนิดนี้ไปเป็นเข็มกระตุ้น
ซึ่งหมายความว่า จะรอไปอีกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ถึง 6 เดือน ซึ่งโรงพยาบาลทั้งหลายก็จะต้องมีการบริหารจัดการวัคซีนที่ได้รับจัดสรรมาให้เหมาะสม และทันต่อระยะเวลาการหมดอายุของวัคซีน ซึ่งเมื่อส่งออกจากโรงงานนั้นจะมีอายุประมาณ 6 เดือน ทั้งนี้เมื่อเก็บไว้ในอุณหภูมิระหว่างลบ 20 ถึงลบ 40 องศา และก็เป็นข่าวดีว่าวัคซีนลอตใหม่จำนวน 1.38 ล้านโดส ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งก็จะถูกจัดสรรไปให้แต่ละโรงพยาบาลเอกชนตามสัดส่วนที่จองไว้
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งข่าวดีว่า ประเทศไทยได้รับวัคซีนบริจาคโมเดอร์นาจำนวน 1 ล้านโดส จากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และให้ประชาชนที่สนใจ และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 หรือเคยฉีดวัคซีนบางชนิดไปแล้ว สมัครเข้ารับการฉีดวัคซีนชนิดนี้หรือวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเช่นเดียวกัน ได้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน เป็นต้นมา เรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมมากพอสมควร โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้สั่งจองซื้อวัคซีนโมเดอร์นาด้วยตนเองไว้ เนื่องจากเดิมนั้นภาครัฐไม่ได้มีการพูดถึงการจัดซื้อวัคซีนตัวนี้เข้ามาใช้ฉีดให้กับประชาชน และยังให้องค์การเภสัชกรรมช่วยจัดซื้อวัคซีนนี้ตามคำขอของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้เป็นวัคซีนทางเลือกอีกด้วย
การเชิญชวนให้ประชาชนเกือบ 10 ล้านราย ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มที่ 1 ซึ่งเมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะพบว่า ยังมีประชาชนใน 10 จังหวัด ซึ่งมีจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 อยู่ที่ระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ อาทิจังหวัดนครนายก แม่ฮ่องสอน ราชบุรี สุพรรณบุรี ปัตตานี ลพบุรี สมุทรสงคราม จะเห็นว่ามีเพียงจังหวัดแม่ฮ่องสอนและปัตตานีเท่านั้นที่อยู่ห่างไกลกรุงเทพฯ ส่วนจังหวัดที่เหลือไม่ถือว่าอยู่ห่างจากกรุงเทพฯนัก จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะผิดปกติในเรื่องของการบริหารจัดการให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามเป้า การเชิญชวนของภาครัฐในครั้งนี้ นอกจากการใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาแล้ว ยังเน้นการฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอทั้งของไฟเซอร์และโมเดอร์นา โดยอาจจะเป็นการฉีดเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ ส่วนวันที่เข้ามาฉีดนั้นจะได้รับวัคซีนตัวไหน ก็ขึ้นอยู่กับการจัดสรรวัคซีนในวันนั้น โดยประชาชนเลือกไม่ได้ และจะเห็นว่าเป็นการดำเนินการเฉพาะที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กรุงเทพฯเท่านั้น
การที่ผู้บริหาร ระดับประเทศออกมาให้ข่าวถึงการที่รัฐบาลได้รับวัคซีนบริจาคโมเดอร์นาจำนวน 1 ล้านโดส ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามารับการฉีดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามข่าวที่ออกไปนั้น มีข้อความทำนองว่าผู้ที่เสียเงินซื้อวัคซีนโมเดอร์นาไปแล้ว หากรอวัคซีนที่ตัวเองจองซื้อไว้ไม่ได้ ก็มาฉีดได้เช่นกัน ส่วนวัคซีนที่จองไว้นั้นก็บริจาคให้ผู้อื่นไป ข้อความดังกล่าวนี้ทำให้เกิดกระแสสังคมอย่างรุนแรงพอสมควร ที่กระทบกับความรู้สึกของผู้ที่สั่งจองวัคซีน ทำให้เกิดกระแสโจมตีและต่อว่ารัฐบาลที่ไม่ได้พยายามจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาตั้งแต่ต้น ทำให้เขาเหล่านั้นต้องเสียเงินเพื่อซื้อวัคซีนทางเลือกด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็มีวัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาฉีดฟรีให้กับประชาชชนบางส่วนได้
ความจริงแล้วการเสนอข่าวเรื่องนี้สามารถจะทำได้โดยไม่ให้เกิดปัญหาที่กระทบต่อความรู้สึก หากผู้บริหารระดับสูงจะเน้นย้ำว่า วัคซีนที่ได้มาเป็นวัคซีนบริจาค และจะนำมาสมทบกับวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อฉีดให้กับประชาชนตามคิวการจอง ซึ่งในแต่ละวันจะไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ ว่าจะได้วัคซีนตัวใด โดยไม่ต้องพาดพิงถึงประชาชนที่จองซื้อวัคซีนตัวนี้เอง ซึ่งความล่าช้าในการจัดส่งวัคซีนโมเดอร์นานั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ทั้งองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐและบริษัทตัวแทนจำหน่าย จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบชี้แจงให้ชัดเจน ให้ประชาชนที่จองซื้อทราบถึงเหตุผลความจำเป็นที่ทำให้เกิดความล่าช้า และเชิญชวนอย่างจริงจังให้ประชาชนที่รอฉีดวัคซีนตัวนี้อยู่ ให้มาฉีดวัคซีนตัวอื่นเช่น แอสตราเซเนกาก่อน แล้วหลังจากนั้นอีก 4 ถึง 12 สัปดาห์ จึงค่อยฉีดวัคซีนโมเดอร์นาที่ตัวเองสั่งจองไว้ได้ และหากสั่งจองไว้ 2 โดส ก็ใช้โดสที่สองเป็นเข็มกระตุ้นหลังจากฉีดเข็มที่ 1ในระยะเวลา 3 ถึง 6 เดือนต่อไป ก็จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์
ความรักและความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ถึงแม้รัฐบาลจะได้พยายามอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขฉบับปัจจุบัน ที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่นั้น ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพตามสมควร โดยการดำเนินการใดๆ นั้น ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจปิดกั้นความคิดของคนบางกลุ่มได้ ทำให้เกิดปัญหาของความแตกแยกหรือ
ขัดแย้งด้านความคิดอย่างที่เป็นอยู่ การดำเนินการใดๆ ของภาครัฐ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นเรื่องการจัดหาและการจัดการฉีดวัคซีน แต่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกนำไปเป็นประเด็นได้ รัฐบาลต้องพยายามอย่างยิ่ง ไม่ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ อาทิ เรื่องของการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาซึ่งเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี