ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คงไม่มีข่าวใดที่เป็นเรื่องที่ประชาชนพูดถึงและให้ความสนใจมากไปกว่าเรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน สื่อทุกรูปแบบไม่ว่าจะทาง วิทยุ โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งการพูดปากต่อปาก ได้ทำให้ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างไปจากการระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้แต่อย่างใด
จากการเริ่มต้นพบเชื้อและการระบาดในกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกาเพียง 7-8 ประเทศ ขณะนี้เชื้อดังกล่าวได้มีการระบาดแพร่กระจายไปทั่วโลก มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประเทศที่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว และประเทศที่มีการระบาดมากที่สุดในขณะนี้น่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ติดตามมาด้วยประเทศในแถบทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส และอื่นๆ ส่วนในทวีปเอเชียนั้นประเทศที่มีการระบาดมากที่สุดคืออินเดียและอินโดนีเซีย
จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19ในประเทศสหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นไปถึงระดับหลายแสนรายต่อวัน โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสโอมิครอนนี้ ส่วนในประเทศแถบยุโรปและเอเชียดังที่กล่าวไว้ ก็มีการติดเชื้อในผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันมากกว่า 1 แสนรายเช่นกัน และยังไม่มีทีท่าว่าจำนวนของผู้ป่วยรายใหม่จะลดน้อยลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ก็ยังพอมีข่าวดีให้ทราบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้ มีอาการไม่มากนักและมีจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก
ส่วนในประเทศไทยนั้น หลังจากมีการพบผู้ป่วยรายแรกที่ติดเชื้อรายนี้เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา และภาครัฐได้เริ่มวางมาตรการต่างๆ ในการที่จะควบคุมการระบาดของเชื้อนี้ไว้ให้ได้ แต่ก็พบว่าจากการที่เชื้อตัวนี้เป็นเชื้อที่สามารถติดได้ง่ายและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ก็ทำให้ไม่สามารถจะควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดได้เช่นเดียวกัน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเชื้อนี้ในแต่ละวันได้สอดแทรกขึ้นมาจากเชื้อตัวเดิมคือสายพันธุ์เดลต้าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้นตามลำดับ จนขณะนี้อาจจะกลายเป็นเชื้อตัวหลักที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยแล้วก็เป็นได้ ถึงแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จากสายพันธุ์นี้จะไม่ชัดเจน เพราะไม่มีการตรวจหาสายพันธุ์ในผู้ป่วยรายใหม่ทุกรายก็ตาม
เมื่อหันกลับมาดูตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่ในประเทศไทย ตัวเลขเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 8,263 ราย และเมื่อถึงวันนี้ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อน่าจะเกินกว่า 1 หมื่นรายอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูตัวเลขเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ตัวเลขยังอยู่ที่ระดับ 3 พันราย ลักษณะการเพิ่มของตัวเลขแบบนี้เรียกว่า exponential คือจะขยับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เป็นการยืนยันว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุน่าจะเป็นจากเชื้อตัวใหม่สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้จำนวนยอดผู้ป่วยในประเทศไทยจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่มีผู้ป่วยรายแรกจนถึงขณะนี้ เป็นจำนวนรวมมากกว่า 2.26 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 2 .17 หมื่นราย ซึ่งต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์เล็กน้อย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยการเสียชีวิตของทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 10 รายเศษต่อวัน
ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าและยังมีผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในโรงพยาบาลอีกประมาณ 150 ราย ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่สุด ที่แพทย์ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาชีวิตของเขาเหล่านั้นไว้ เมื่อลงไปดูรายละเอียดของผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปีและผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยพบว่าผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าโรคอื่นพอสมควร
ถึงแม้ว่าการระบาดจากเชื้อโอมิครอนจะเกิดได้ง่ายและรวดเร็ว แต่รัฐบาลก็ได้พยายามอย่างมากที่จะปกป้องประชาชนจากการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ รวมทั้งการเสียชีวิตซึ่งมีโอกาสจะเกิดขึ้น ถึงแม้จะน้อยมากก็ตาม โดยได้มีการปรับมาตรการต่างๆ ทั้งในเรื่องของการเปิดประเทศให้ผู้เดินทางจากต่างชาติเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยได้ยกเลิกโครงการ Test & Go คงให้เหลือแต่โครงการที่เรียกว่า Sandbox เฉพาะจังหวัดภูเก็ต และ Alternative Quarantine ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้ามาจะต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 10 วัน และเมื่อเข้าสู่ประเทศไทยตามข้อกำหนดแล้ว จะต้องถูกตรวจหาเชื้อไวรัสโดยวิธี RT-PCR อีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ก่อนที่จะออกไปในพื้นที่อื่นๆได้
ในส่วนของมาตรการที่เกี่ยวข้องกับคนไทยโดยตรงนั้น รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการในการควบคุมการระบาดของโรคระดับ 4 และได้กลับมากำหนดพื้นที่ของแต่ละจังหวัดที่มีการระบาดรุนแรงเป็นโซนสีตามที่เคยดำเนินการมาก่อน โดยกำหนดให้สีเขียวเป็นโซนที่ไม่มีการระบาดจนถึงสีแดงเข้มที่มีการระบาดมากที่สุด และเพิ่มโซนสีฟ้าคือจังหวัดที่นำร่องการท่องเที่ยว ซึ่งมาตรการนี้ได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 มกราคมเป็นต้นมา ได้กำหนดให้ 69 จังหวัดเป็นพื้นที่สีส้มที่ใช้มาตรการควบคุมเข้ม แต่ก็ยังอนุญาตให้ประชาชนใช้บริการในร้านอาหาร
รวมทั้งยังให้เปิดห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อและตลาดนัดได้ตามปกติ แต่ห้ามการจัดกิจกรรมที่มีคนมากกว่า 500 คน ห้ามการดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน ส่วนร้านเสริมสวยและสถานบริการเพื่อสุขภาพ นวด สปาให้เปิดได้ไม่เกิน 24.00 น ส่วนในพื้นที่สีฟ้า 8 จังหวัดที่เป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี นนทบุรีปทุมธานี พังงา และภูเก็ต ยังอนุญาตให้ดื่มสุราในร้านได้ถึง 21.00 น. นอกเหนือจากการให้หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง การทำงานแบบ Work from Home ประมาณ 50% ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัดโดยรถยนต์สาธารณะ และหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าออกต่างประเทศ
อีกเรื่องหนึ่ง ที่รัฐบาลได้มีความตั้งใจอย่างมาก คือ การให้ประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการฉีดวัคซีน เข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ซึ่งขณะนี้นอกจากกลุ่มต่างๆ ที่เคยฉีดแล้ว ได้อนุญาตให้เด็กอายุตั้งแต่ 5 ถึง 11 ขวบ เข้ารับการฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ได้แล้ว ด้วยความยินยอมพร้อมใจของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง และได้มีความพยายามให้ประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่ฉีดวัคซีนให้ครบโดสมาตรฐานเท่านั้น คือ 2 หรือ 3 โดสแล้วแต่ชนิดวัคซีนที่ใช้ ซึ่งอาจจะเป็นวัคซีนชนิดเดียวกันหรือวัคซีนสูตรไขว้ โดยให้ผู้ที่ฉีดครบแล้วเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 แล้วแต่กรณี เพื่อให้ร่างกายการสร้างภูมิต้านทานเพิ่มเติม เนื่องจากมีข้อมูลที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่าถึงแม้จะฉีดวัคซีนครบโดส แต่เมื่อถึงระยะเวลา 3 เดือน ภูมิต้านทานจากวัคซีนทุกชนิดจะเริ่มลดต่ำลง และอาจจะไม่พอเพียงต่อการป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตในกรณีที่มีการติดเชื้อได้
ขณะนี้มีข้อมูลเชิงประจักษ์แล้วว่า การฉีดวัคซีนทุกชนิดและทุกรูปแบบครบตาม dose มาตรฐานนั้น ไม่สามารถจะป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ เพียงแต่ว่าหากมีการติดเชื้อ อาจจะไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง โดยอาการที่ปรากฏชัดสุดคืออาการไอ เจ็บคอ จาม น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และท้องเสีย คล้ายกับการเป็นไข้หวัด และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ยังมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานที่เพิ่มมากขึ้นนั้นช่วยป้องกันอาการรุนแรงที่เกิดจากเชื้อสายพันธุ์อื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนของการเข้ารับการฉีดวัคซีนนั้น รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันอย่างเต็มที่ให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนซึ่งขณะนี้มีอยู่อย่างเพียงพอได้อย่างสะดวกรวดเร็วที่สุดแล้ว และยังอาจเลือกชนิดของวัคซีนได้ด้วย แต่ทั้งนี้เมื่อจะเข้ารับการฉีดนั้น ควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้งหากจำเป็นก็ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
มีข้อมูลออกมาจากบางแหล่งในขณะนี้ว่าผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย (ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยงจริงๆ ซึ่งยังอาจจะเสียชีวิตได้) หลังจากการติดเชื้อแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้สูงมากเหมือนกับการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาติดตาม หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ย่อมเป็นประโยชน์มากพอสมควร เพราะหากมีการได้รับเชื้ออีกก็จะไม่มีอาการแต่อย่างใด เป็นลักษณะของการเกิดสภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในประชาชนส่วนใหญ่ได้
เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้ ในส่วนของประชาชนหากมีอาการที่น่าสงสัย หรือหากตรวจด้วยชุดตรวจ ATK แล้วพบว่ามีความผิดปกติ ขอให้รีบเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุด ในกรณีที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการอาจจะเข้ารับการรักษาในรูปแบบของ HI หรือ CI ก็ได้ โดยสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เปิดช่องทางให้ประชาชนติดต่อเพื่อขอเข้ารับการรักษาในรูปแบบดังกล่าวได้ทางโทรศัพท์หมายเลข 1330 ต่อ 14 ซึ่งได้เปิดให้มีคู่สายโทรศัพท์เพื่อการติดต่อที่มีจำนวนมากพอเพียง หรืออาจจะใช้การสแกนคิวอาร์โค้ดของสำนักงานฯ ซึ่งจะมีการดำเนินการให้ผู้ที่อยู่ในข่ายได้เข้ารับการรักษาได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมง นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง
คงไม่มีใครที่อยากจะเจ็บป่วยหากสามารถจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเองได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้ครบโดส และต่อด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนอกเหนือไปจากการป้องกันตัวเองตามแนวทางการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ที่ประชาชนทุกคนได้ถือปฏิบัติอยู่แล้ว นั่นคือการสวมหน้ากากอนามัย การอยู่ห่างจากคนทั่วไป และการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ให้บ่อยที่สุด ยังคงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุด
อย่าตระหนก แต่ต้องตระหนัก ดูแลรักษาตัวเองให้ปลอดจากโรค ย่อมดีกว่าการต้องถูกดูแลรักษาโดยผู้อื่นอย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี