วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์ /

วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565, 19.00 น.
ประเทศไทยใน 4-5 วันข้างหน้า

ดูทั้งหมด

  •  

ท่านผู้อ่านอย่าตกใจกับหัวข้อของคอลัมน์ในวันนี้นะครับ เพราะวัตถุประสงค์ของการตั้งหัวข้อยังคงผูกโยงไปถึงเรื่องของโรคระบาดใหญ่ จากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดีแล้วว่าคือโรคโควิด-19 นั่นเอง โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จะมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เกิดขึ้นหลายเรื่องพอสมควร

ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบจะ 3 ปีที่ผ่านมา ประชากรทั่วทั้งโลกต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวและวิตกกังวล อันเป็นผลมาจากโรคระบาดใหม่ที่เป็นอันตรายเป็นอย่างมาก ที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก และเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตของผู้คนทั่วทั้งโลกไปมากกว่า 6.53 ล้านราย โดยมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ทั้งหมดเกือบ 620 ล้านราย ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่มากมายมหาศาล และไม่เพียงแต่ชีวิตของผู้คนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น ต้องใช้เงินจำนวนถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท ในการจัดการกับโรคนี้ ทั้งในเรื่องของการป้องกันและการรักษา และยังต้องใช้เงินงบประมาณอีกเป็นจำนวนมากพอสมควร เพื่อนำมาช่วยพยุงเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน ในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง


ด้วยกระบวนการจัดการที่ต้องนับว่ามีประสิทธิภาพของรัฐบาล โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษและมีคณะกรรมการที่รับผิดชอบในระดับประเทศที่มีชื่อว่า ศูนย์บริหารจัดการการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่เรียกชื่อย่อว่า ศบค. และนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา เป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้เองโดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการเรื่องนี้ ร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้สถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยได้คลี่คลายลง จนปัจจุบันนี้เกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

จากสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทำให้ขณะนี้ได้มีการออกประกาศของกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม นี้เป็นต้นไปโรคโควิด-19 จะไม่ถูกจัดว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายอีกต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับการที่จำนวนผู้ป่วยจากโรคนี้ในแต่ละวันที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ลดลงต่ำกว่าระดับ 1,000 คน ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันก็ลดลงต่ำกว่า 15 ราย โดยบางวันลดลงต่ำกว่า 10 ราย และมีผู้ที่ยังต้องรักษา ในหอผู้ป่วยหนัก อยู่ที่ระดับ 500 รายเศษเท่านั้น โดยผลลัพธ์เช่นนี้เป็นผลมาจากการที่ประชากรในประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว

หากนับเป็นจำนวนครั้งหรือโดส ก็มากกว่า 143 ล้านโดส โดยมีผู้ที่ได้รับการฉีด 1 เข็มแล้วมากกว่า 82 เปอร์เซ็นต์ ฉีด 2 เข็ม แล้วมากกว่า77 เปอร์เซ็นต์ และฉีด 3 เข็ม แล้วมากกว่า 46 เปอร์เซ็นต์ซึ่งในทางระบาดวิทยาเชื่อว่าน่าจะทำให้ ประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะรายบุคคลเท่านั้นแต่เกิดสภาพที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นแล้วด้วยซึ่งจะทำให้เชื้อไวรัสลดความรุนแรงและอันตรายลงได้อีกด้วย จนในที่สุดโรคนี้ซึ่งเป็นโรคระบาดใหญ่และอันตรายจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นอย่างแน่นอน กล่าวคือเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นได้ทั่วๆ ไป ไม่มีความรุนแรงของอาการ และเป็นโรคที่ควบคุมและป้องกันได้จากการฉีดวัคซีน

ดังที่ผมได้เคยกล่าวไว้แล้วในคอลัมน์นี้ในตอนก่อนหน้านี้ว่า หลายประเทศในทวีปยุโรปได้ผ่อนคลายโรคนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และวิถีชีวิตของผู้คนก็กลับมาสู่สภาพปกติ ประชาชนทั่วไปไม่มีผู้ใดใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองอีกแล้ว อาจจะยกเว้นผู้ที่ป่วยด้วยโรคของระบบทางเดินหายใจที่จะใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นผู้แพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ควรจะปฏิบัติ และก็เชื่อว่าแนวปฏิบัติแบบที่กล่าวมาแล้วจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในระยะเวลาอีกไม่นานจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่มีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างอิสระนั้น ก็จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยอีกแล้ว

ขณะนี้ได้มีการเตรียมการออกประกาศเป็นกฎกระทรวง ไม่ให้มีการนับโรคโควิด-19 เป็นโรคร้ายแรง ที่เป็นโรคต้องห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีพ.ศ 2563 โรคนี้ได้ถูกนับรวมให้อยู่ในกลุ่มโรคที่ห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ ซึ่งเดิมประกอบไปด้วยโรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจ โรคยาเสพติดให้โทษและโรคซิฟิลิสระยะที่ 3 ซึ่งอาจจะมีผลที่ทำให้ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศโดยไม่มีอาการใดๆ ในขณะนั้นไม่ต้องแสดงประวัติของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่าครบตามเกณฑ์มาตรฐานแล้วก็เป็นได้ เพราะขณะนี้ผู้ที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทยยังต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน ที่สนามบินประเทศต้นทาง เมื่อมีการเช็คอินเป็นผู้โดยสารของสายการบินอยู่

ในส่วนของภาคราชการนั้น คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแนวทางการปฏิบัติราชการที่รองรับชีวิตและการทำงานวิถีใหม่ อันเนื่องมาจากในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำรงชีวิตและการปฏิบัติงานในภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดรูปแบบวิธีการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับภารกิจและลักษณะงานและคำนึงถึงคุณภาพชีวิตในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานโดยกำหนดรูปแบบ แบ่งเป็น 3 รูปแบบ

รูปแบบที่ 1 การปฏิบัติงานในที่ตั้งโดยการเหลื่อมเวลาทำงาน เช่นกำหนดช่วงเวลาการเข้างานและเลิกงานเป็น 4 ช่วงตั้งแต่ 07.30-15.30 น., 08.00-16.00 น., 08.30-16.30 น. และ 09.30-17.30 น.

รูปแบบที่ 2 การปฏิบัติงานในที่ตั้ง โดยการนับชั่วโมงการทำงาน เช่น กำหนดให้สามารถเลือกเวลาเข้างานได้ตามความเหมาะสมกับรูปแบบการดำรงชีวิต โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งนี้เมื่อนับเวลาปฏิบัติงานรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่า40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

รูปแบบที่ 3 การปฏิบัติงานนอกที่ตั้งโดยกำหนดให้สอดคล้องกับร่างระเบียบ สำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติงานนอกสถานที่ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอ ครม. ตรวจพิจารณาแล้วเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2565 ทั้งนี้การกำหนดรูปแบบการปฏิบัติงานอ้างอิงจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง การกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ พ.ศ 2502 ซึ่งกำหนดไว้คือ หากส่วนราชการใดจะกำหนดวันและเวลาในการทำงานเพื่อความสะดวก สามารถทำได้แต่เมื่อคำนวณรวมแล้วต้องไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ซึ่งแนวปฏิบัติใหม่นี้สอดคล้องกับการกำหนดเวลาทำงานของภาคเอกชนบางส่วนซึ่งได้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งในภาพรวมน่าจะส่งผลดีพอสมควร

หลังจากวันที่ 1 ตุลาคม นี้ การเข้ารับการตรวจและรักษาของผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19นั้น จะเป็นการเข้าไปที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลตามสิทธิ์พื้นฐานของแต่ละบุคคลทั้งหมด โดยในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ์ และอนุโลมให้เข้ารับรักษาในโรงพยาบาลที่สังกัดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ก็เข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ ในส่วนของผู้ที่อยู่ในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของภาครัฐได้ทุกแห่ง ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบของรัฐวิสาหกิจก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีข้อตกลงไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกรณีที่อาการป่วยเข้าขั้นรุนแรงที่ถือว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตยังคงสามารถเข้ารับการรักษาได้ในสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลทั้งของภาครัฐและเอกชนทุกแห่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์อันพึงมีแต่อย่างใด

สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีจำนวนไม่น้อยที่ได้เข้าใช้บริการการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สำนักอนามัยกรุงเทพฯ ได้จัดไว้ที่สถานีกลางบางซื่อนั้น ต้องขอแจ้งให้ทราบว่าการให้บริการการฉีดวัคซีนดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน นี้ โดยหลังจากนั้นผู้ที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ก็ต้องติดต่อเข้ารับการฉีดในสถานพยาบาลที่สังกัดอยู่ตามสิทธิ์พื้นฐาน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือเรื่องประเทศไทยใน 4-5 วันข้างหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของโรคโควิด-19คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 30 กันยายนซึ่งเป็นวันที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการแถลงผลการวินิจฉัยเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นระยะเวลา 8 ปี ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นให้ศาลพิจารณา ก็หวังว่าไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาในรูปแบบใด ประชาชนคนไทยทุกคนซึ่งต้องอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตนภายใต้รัฐธรรมนูญ จะต้องให้การยอมรับกับผลการวินิจฉัยในครั้งนี้ ไม่มีการกระทำใดๆ ในการที่จะแสดงอำนาจนอกเหนือกฎหมายทั้งโดยส่วนบุคคลหรือการเป็นกลุ่ม ที่จะนำไปสู่ความยุ่งยาก ก่อให้เกิดความแตกแยกสามัคคี อันไม่เป็นผลดีอย่างใดต่อบ้านเมือง

นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
16:05 น. ‘รอง ผบช.ภ.1’ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชนช่วงปีใหม่-สภ.ไชโย กำชับเข้มแนวปฏิบัติ
16:02 น. ฮุน เซน เคลื่อนไหว โพสต์ภาพ18ทหารเชลยศึก พร้อมข้อความต้อนรับกลับบ้าน
16:00 น. อัษฎางค์ ตั้งคำถามสังคมไทย ศักดิ์ศรี ‘นักการเมือง’ ดังกว่าความมั่นคง ‘ประมุขแห่งรัฐ’ หรือไม่?
15:56 น. ไอซีอาร์ซี แถลงการณ์ ไทยปล่อยตัว18เชลยศึก ชี้เป็นจุดเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสันติภาพ
15:53 น. ‘ตม.สตูล’จิตอาสาให้บริการ-อำนวยความสะดวกผู้โดยสารเดินทางเข้าออกประเทศช่วงปีใหม่2569
ดูทั้งหมด
มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 27 ธ.ค.68 - 2 ม.ค.69
ฮุนเซน เล่นใหญ่ โพสต์เฉลิมฉลองวันหยุด วันสันติภาพกัมพูชา
ยิปซี 12 นักษัตร : พยากรณ์ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2568 – 3 มกราคม พ.ศ.2569
ปิดด่านชายแดนพ่นพิษ กัมพูชาเผยยอดนำเข้าจากไทยวูบ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
สื่อเขมร อ้าง ‘ไทยโกหก’ โจมตีทางอากาศเพราะประเทศมีอาชญากรรมทางไซเบอร์
ดูทั้งหมด
ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
‘พรรคส้ม’อุ้มผู้กระทำผิด ข่มขู่อาฆาตมาดร้ายในหลวง ขึ้นบัญชี สส.ปาร์ตี้ลิสต์
KRAC Recap 2025: What We Built, What Changed and Why It Matters
บุคคลแนวหน้า : 31 ธันวาคม 2568
เส้นใต้บรรทัด : ‘โดม ปกรณ์ ลัม’ กับนิยาม ‘คุกคามทางเพศ’
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ฮุน เซน เคลื่อนไหว โพสต์ภาพ18ทหารเชลยศึก พร้อมข้อความต้อนรับกลับบ้าน

ไอซีอาร์ซี แถลงการณ์ ไทยปล่อยตัว18เชลยศึก ชี้เป็นจุดเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสันติภาพ

หมอวรงค์ ลากไส้ ฮุน เซน ทำไมดูเร่งรีบให้ประชุมเจบีซี

กรมการแพทย์ชวนคนไทย หันมากินสุก ตัดวงจรพยาธิขึ้นตา ถนอมการมองเห็น

ด่วน! หิ้วแม่บ้านเดทตอล นอนคุก หลังวืดประกันเหตุหาเงินไม่ทัน

โลกอาลัย ทาเทียนา ชลอสเบิร์ก หลานสาวประธานาธิบดีJFK เสียชีวิตแล้วในวัยเพียง35ปี

  • Breaking News
  • ‘รอง ผบช.ภ.1’ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชนช่วงปีใหม่-สภ.ไชโย กำชับเข้มแนวปฏิบัติ ‘รอง ผบช.ภ.1’ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชนช่วงปีใหม่-สภ.ไชโย กำชับเข้มแนวปฏิบัติ
  • ฮุน เซน เคลื่อนไหว โพสต์ภาพ18ทหารเชลยศึก พร้อมข้อความต้อนรับกลับบ้าน ฮุน เซน เคลื่อนไหว โพสต์ภาพ18ทหารเชลยศึก พร้อมข้อความต้อนรับกลับบ้าน
  • อัษฎางค์ ตั้งคำถามสังคมไทย ศักดิ์ศรี ‘นักการเมือง’ ดังกว่าความมั่นคง ‘ประมุขแห่งรัฐ’ หรือไม่? อัษฎางค์ ตั้งคำถามสังคมไทย ศักดิ์ศรี ‘นักการเมือง’ ดังกว่าความมั่นคง ‘ประมุขแห่งรัฐ’ หรือไม่?
  • ไอซีอาร์ซี แถลงการณ์ ไทยปล่อยตัว18เชลยศึก ชี้เป็นจุดเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสันติภาพ ไอซีอาร์ซี แถลงการณ์ ไทยปล่อยตัว18เชลยศึก ชี้เป็นจุดเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสันติภาพ
  • ‘ตม.สตูล’จิตอาสาให้บริการ-อำนวยความสะดวกผู้โดยสารเดินทางเข้าออกประเทศช่วงปีใหม่2569 ‘ตม.สตูล’จิตอาสาให้บริการ-อำนวยความสะดวกผู้โดยสารเดินทางเข้าออกประเทศช่วงปีใหม่2569
ดูทั้งหมด
Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved