จนถึงขณะนี้ คงไม่มีใครพูดถึงเรื่องของโรคโควิด-19 ซึ่งเคยเป็นปัญหาอย่างรุนแรงทั่วทั้งโลกรวมทั้งในประเทศไทยในช่วงระยะ 3 ปี ที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว และถึงแม้ว่าสถานการณ์ของโรคนี้จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเชิงของการระบาดอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ยังคงอยู่ในสถานะ ของโรคที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีว่าส่วนใหญ่ของประชาชนชาวไทยยังคงนิยมที่จะใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกจากบ้านไปในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีคนจำนวนมาก ข้อมูลของจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 1 เมษายนที่ผ่านมา มีจำนวนเพียงแค่ 167 ราย เฉลี่ยต่อวัน 24 รายและมีผู้เสียชีวิตตลอดทั้งสัปดาห์เพียงแค่ 3 ราย ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก และไม่เป็นเรื่องที่ต้องวิตกกังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว
แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ตลอดทั้งในภาคเหนือของประเทศเกือบทั้งหมด ก็คือผลกระทบจากฝุ่นในอากาศที่เรียกว่า PM2.5 ซึ่งยังคงมีค่า AQI คือดัชนีคุณภาพอากาศสูงกว่าปกติ อยู่ที่ระดับสีเหลืองและสีแดงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน เป็นต้น ทำให้จำนวนของผู้ที่ป่วยด้วยเรื่องของระบบทางเดินหายใจนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นภาระอย่างยิ่งต่อการรักษาพยาบาล แต่ผลเสียที่มากยิ่งกว่าก็คือสุขภาพของประชาชน
เรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งในบางวันมีค่าสูง จนอาจจะเรียกว่าเป็นฝุ่นพิษนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงที่จะมีการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล จากการที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ จึงดูเหมือนว่าความสนใจของภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพของประชาชนลดน้อยลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปตอบสนองต่อกระบวนการหาเสียง และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ก็คงเป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องรอต่อไปจนกว่าจะถึงระยะเวลา หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งก็ยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร และที่มีการพูดกันว่าจะนำเรื่องนี้มาเป็นวาระแห่งชาตินั้น ก็ยังน่าจะเป็นเพียงภาพฝัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงกลางปีซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน ก็เชื่อว่าปริมาณของฝนที่ตกลงมาคงจะช่วยชะล้างให้ฝุ่นดังกล่าวหายไปได้ และสภาพอากาศจะกลับมาใกล้เคียงปกติ ก็คงต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เทวดามาช่วย และเรื่องของวาระแห่งชาติ ในการจัดการกับฝุ่น PM2.5 ก็อาจจะจางหายไป
สุขภาพของประชาชน ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง และเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตามก็ต้องให้ความสนใจ เพราะหากสุขภาพไม่ดีผลกระทบต่างๆ จะตามมาอย่างมากมาย รวมทั้งคุณภาพของผู้คนซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำให้สังคมและประเทศชาติขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี
ในปีพุทธศักราช 2545 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่มีชื่อย่อว่า สปสช. โดยเป็นองค์กรของรัฐ ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ 2454 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยเลขาธิการของสำนักงานทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งเรียกว่าคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน เป็นผู้กำกับดูแลมาตรฐานการรักษาพยาบาล
ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยมีระบบในการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน อยู่ 2 ระบบ คือระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2523 และระบบที่ 2 คือระบบประกันสังคมซึ่งได้เริ่มต้นในปีพ.ศ. 2533 ภายใต้ความรับผิดชอบ ของสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
การจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงทำให้ประเทศไทยมีระบบ ที่รองรับการดูแลสุขภาพของประชาชนได้เกือบทั้งหมด 100% โดยในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น ขณะนี้ได้รับผิดชอบดูแลประชาชนอยู่ประมาณ 48 ล้านคน และเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการเริ่มต้นและวางรากฐานที่ดีของเลขาธิการท่านแรกคือนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ จนปัจจุบันนี้เป็นระบบที่อาจจะเรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่น้อยกว่าระบบอื่นๆ ที่มีอยู่แต่อย่างใด
เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจสำหรับผู้ที่จะต้องใช้บริการในระบบนี้ จึงจะขอนำเรื่องของสิทธิประโยชน์ของผู้ที่อยู่ในโครงการนี้ว่ามีอะไรบ้างมานำเสนอ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์ด้านบริการอื่นๆ ดังต่อไปนี้
สิทธิประโยชน์ด้านการรักษานั้นประกอบไปด้วย บริการด้านการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคการตรวจวินิจฉัยโรค การตรวจและรับฝากครรภ์ การบำบัดรักษาและบริการทางการแพทย์ต่างๆ ยา เวชภัณฑ์อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ การทำคลอด การพักรักษาตัวในโรงพยาบาล การบริบาลทารกแรกเกิด
ส่วนในเรื่องของการบริการอื่นๆ นั้น ประกอบด้วยบริการรถพยาบาลเพื่อรับส่งผู้ป่วย ผู้ทุพพลภาพ การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจ การบริการสาธารณสุขด้านการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก การบริการสาธารณสุขอื่นๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติด การบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับอุบัติเหตุการประสบภัย ยกเว้นในส่วนของการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ รวมทั้งการดูแลต่อเนื่องในกรณีที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลายาวนาน
จะเห็นว่าการบริการทั้ง 2 ส่วนนั้นครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในเรื่องของการดูแลรักษาพยาบาล ตั้งแต่เรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย
และในส่วนของการรักษาพยาบาลนั้น ขณะนี้ก็ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์การรักษาในกรณีที่เจ็บป่วยจากโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งหมดด้วย ซึ่งเรียกได้ว่า “แพงแค่ไหน สิทธิบัตรทอง 30 บาท ก็รักษาฟรี” ซึ่งครอบคลุมโรค 15 รายการดังนี้
1.โรคมะเร็ง
2.ผ่าตัดสมอง
3.โรคปอดระยะสุดท้าย
4.การผ่าตัดรักษาข้อเข่าเสื่อม
5.การปลูกถ่ายไขกระดูก
6.โรคหลอดเลือดสมองแตก ตีบหรือตัน
7.การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต สเต็มเซลล์
8. ผู้ติดเชื้อ HIV
9. การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
10. โรคหายากต่างๆ
11.โรคหัวใจ ซึ่งรวมกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเฉียบพลัน การสวนหัวใจ การผ่าตัดหัวใจ และการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
12.โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งรวมการบำบัดทดแทนไต และการปลูกถ่ายไต
13.การรักษาเฉพาะโรคที่เกิดจากการดำน้ำ (Decompressive sickness)
14.การรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen therapy)
15.โรคอื่นๆ ตามที่จะกำหนด
ทั้งนี้การเข้ารับการรักษาของผู้ที่อยู่ในระบบนี้จะเริ่มต้นโดยเข้ารับการรักษาที่หน่วยบริการประจำที่ขึ้นทะเบียนไว้ และหากศักยภาพของที่นั้นไม่เพียงพอ ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลระดับสูงต่อไป สำหรับผู้มีสิทธิ์ที่ไปอยู่ต่างพื้นที่นั้น ก็สามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานบริการปฐมภูมิทุกแห่ง และหากมีความจำเป็น หรือฉุกเฉิน ก็จะถูกส่งเข้าไปรักษาในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าและอยู่ใกล้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็คือในปัจจุบันนี้ ผู้ที่ถือบัตรทองหรือบัตรหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า สามารถจะเปลี่ยนสถานบริการประจำตัวได้อย่างสะดวกง่ายดาย ในกรณีที่ท่านย้ายสถานที่อยู่หรือสถานที่ทำงาน โดยการนำบัตรประชาชน ไปยังโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ท่านต้องการเข้าเป็นสมาชิก ในฐานะ โรงพยาบาลประจำตัว แล้วสามารถจะสแกน QR Code เพื่อเข้าไปกรอกข้อมูล ขอเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำตัวได้ โดยจะมีผลให้ใช้ได้ทันทีไม่ต้องรอเป็นระยะเวลาประมาณ 7-15 วัน ตามที่เคยเป็นมาในอดีตอีกแล้ว
ต้องขอบอกว่าระบบบริการสุขภาพถ้วนหน้าที่เรียกว่าบัตรทองนั้น เป็นบัตรที่มีคุณค่ามากกว่าทอง เพราะบัตรใบเดียวนี้ สามารถจะใช้ซื้อบริการสุขภาพได้ทุกอย่าง โดยหากใช้ตามสิทธิ์พื้นฐาน จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใดทั้งสิ้น และเชื่อว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะทำให้บัตรใบนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี