วันพฤหัสบดี ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ประชาสัมพันธ์
สภาผู้บริโภคหนุนรถไฟฟ้า 20 บาท ช่วยคนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะ

สภาผู้บริโภคหนุนรถไฟฟ้า 20 บาท ช่วยคนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะ

วันอาทิตย์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567, 17.06 น.
Tag :
  •  

สภาผู้บริโภคจัดเวทีแลกเปลี่ยนบทเรียนค่าโดยสารรถไฟฟ้าในต่างประเทศเปรียบเทียบกับไทย ดันค่าโดยสาร 20 บาททุกสายทำให้ขนส่งมวลชนทุกคนต้องเข้าถึงได้ ด้าน “สุรพงษ์  ปิยะโชติ” ลั่นปี 2572 ยุทธศาสตร์บูรณาการ รถไฟฟ้ารางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง จุดเปลี่ยนขนส่งมวลชนประเทศเชื่อมโยงทุกระบบเพื่อยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิต ขณะที่ผู้แทนจากมาเลเซีย - เกาหลีใต้ ชี้ความสำเร็จยกระดับขนส่งมวลชนต้องเริ่มจากเจตจำนงการเมืองและการสนับสนุนของรัฐบาล

11 ก.พ.67 สภาผู้บริโภคและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดเสวนา “บทเรียนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะทุกคนขึ้นได้ของไทยและต่างประเทศ” เพื่อสรุปบทเรียนในต่างประเทศมาปรับใช้ในประเทศไทย โดยนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและพฤติกรรมการเดินทางของประชาชน โดยดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายใน 2 สายหลักคือสายสีม่วงและสายสีแดง ซึ่งเป็นโครงการที่ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่วนจะเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสายกับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ หรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้รัฐบาลยังได้พัฒนาระบบตั๋วร่วมซึ่งร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. …. จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏรในเดือนมีนาคม 2567 รวมถึงยังมีการปรับปรุงระบบการจองตั๋วรถไฟผ่านระบบ D - Ticket โดยประชาชนสามารถขยายเวลาจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ จากเดิม 30 วัน เพิ่มสูงสุดเป็น 90 วัน และจัดเสริมขบวนรถ/พ่วงตู้ ให้เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน


ส่วนภาพรวมของการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะนั้นเชื่อว่าในปี 2572 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนของประเทศไทยเนื่องจาก การขนส่งสาธารณะ ขนส่งสินค้า ถูกยกระดับให้สามารถบูรณาการเชื่อมโยงซึ่งกันและกันทั้งในไทย รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและลาวทำให้ระบบขนส่งทางรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศผ่าน 60 จังหวัด ส่วนที่เหลือจะเป็นระบบล้อโดยรูปแบบบริษัท ขนส่ง จำกัดหรือ บขส.ต้องไม่วิ่งแข่งขันระยะไกล แต่เปลี่ยนเป็นระบบฟีดเดอร์บริการขนส่งระยะใกล้เพื่อส่งคนเข้าระบบรางที่เป็นขนส่งหลักของประเทศ

“อนาคตระบบขนส่งทางรางจะเป็นขนส่งหลักของประเทศ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการรถไฟทางคู่ที่มีรางขนาด 1 เมตร ความเร็วสูงสุดประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกับรถไฟความเร็วสูงมีความเร็วประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดราง 1.43 เมตร ทำให้ร่นเวลาในการเดินทางและการขนส่งลง ทำให้รถบรรทุกหายไปจากท้องถนนและลดมลพิษ PM 2.5 ด้วย เพราะเมื่อรถไฟทางคู่เสร็จแล้วจะมีทางรถไฟมากกว่า 8,000 กิโลเมตร ให้บริการประชาชนได้ 61 จังหวัด ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น” นายสุรพงษ์กล่าวและว่า หัวใจสำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของขนส่งมวลชนสาธารณะอีกประเด็นคือการกระจายอำนาจในการจัดการระบบขนส่งมวลชนให้กับท้องถิ่นในการจัดการตัวเอง โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้กฎกระทรวงให้ท้องถิ่นสามารถบริการจัดการเดินรถของตัวเองได้ทำให้เกิดการกระจายขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค กล่าวว่า จุดยืนของสภาผู้บริโภคคือต้องการบริการขนส่งมวลชนที่ทั่วถึง เช่น เดินออกจากบ้านไปเพียง 500 เมตรต้องเจอป้ายรถสองแถว ป้ายรถเมล์หรือแม้แต่รถไฟฟ้า แต่ปัจจุบันมีอุปสรรคอยู่มากมายโดยเฉพาะปัญหาค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางแพง ทั้งนี้ ค่าเดินทางควรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำเพราะจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งได้ ไม่ใช่เฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น 

“สภาผู้บริโภคได้ขับเคลื่อนการเข้าถึงขนส่งมวลชนสาธารณะเพื่อให้ผู้บริโภคเดินทางสะดวกปลอดภัย และราคาเป็นธรรม โดยสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท และเชื่อว่าสามารถทำได้จริง โดยสามารถหารายได้จากแหล่งอื่น อย่างเช่น ค่าโฆษณา การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะด้วยกันไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งเราเชื่อว่าบริการขนส่งมวลชนเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนจ่ายร้อยเปอร์เซนต์” นางสาวสารี กล่าว 

นางสาวสารี กล่าวด้วยว่า การทำให้ราคารถไฟฟ้าถูกลงยังช่วยประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งหากดูตัวเลขจากกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุว่าตั้งแต่ 1 มกราคม - 1 มีนาคม 2566 ประเทศไทยมีผู้ป่วยจาก PM 2.5 มากถึง 1,730,976 ราย และโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสำหรับแผนกผู้ป่วยนอกที่มารักษาพยาบาลด้วยโรคระบบทางเดินหายใจอย่างน้อย 700 บาทต่อคน รวมค่าใช้จ่ายมากกว่า 12,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าเดินทางต้องหยุดงานและขาดรายได้ ซึ่งประเมินเป็นมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท รวมตัวเลขทั้งสองส่วนนี้ก็มากถึง 4-5 พันล้านบาท

สภาผู้บริโภคเห็นว่าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการจัดบริการขนส่งสาธารณะโดยล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สามารถจัดบริการขนส่งมวลชนได้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่ทำให้เกิดการกระจายอำนาจและทำให้การบริการสอดคล้องกับคนในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งท้องถิ่นนับว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ทั่วถึง ปัจจุบันจากความร่วมมือของสภาผู้บริโภคและ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งทำงานในพื้นที่ 33 จังหวัดก็พบว่ามีเพียง 7 จังหวัดเท่านั้นที่ทำเรื่องบริการขนส่งสาธารณะ 

ขณะที่ นายอธิภู จิตรนุเคราะห์ รองอธิบดีกรมขนส่งทางราง กล่าวว่า การปรับพฤติกรรมให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลงมาต้องใช้เวลาเกิน 5 ปีขึ้นไป โดยที่ผ่านมา คนไทยใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนมากแต่เริ่มปรับพฤติกรรมมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้มีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ในรถไฟฟ้าสายสีแดง ทำให้รถไฟฟ้าสายสีแดงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 23 ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ซึ่งเฉลี่ยทั้งสองสายมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะไม่ใช่เพียงเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว แต่เรื่องของนโยบายทางการเมืองที่มีเจตจำนงชัดเจนในการยกระดับและเชื่อมต่อกันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนโยบายค่าโดยสารและนโยบายที่รัฐต้องสนับสนุนเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเดินทางมากขึ้น

ด้าน รศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน์ จากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่จะสามารถดำเนินการได้ มีประเด็นที่สำคัญคือเรื่องของเจตจำนงทางการเมืองซึ่งเป็นความมุ่งมั่นที่เกิดจากภาคการเมืองและความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยที่ผ่านมาระบบขนส่งสาธารณะต้องมีความสะดวก ความปลอดภัยและประหยัด โดยทุกหน่วยงานต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่กระทรวงคมนาคมอย่างเดียวแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน 

ขณะที่บทเรียนจากต่างประเทศ นายอาจิต โจห์ล รองเลขาธิการสหพันธ์สมาคมผู้บริโภคและประธานสมาคมผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า การพัฒนาระบบขนส่งในประเทศมาเลเซียให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่และทิศทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศมาเลเซียได้ให้การอุดหนุนราคาน้ำมันกับผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมากถึง 15,000 ล้านริงกิตมาเลเซียต่อปีจนทำให้มีรถยนต์บนท้องถนนจำนวนมาก ขณะที่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งยังต้องการใช้บริการขนส่งสาธารณะรวมทั้งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะปรับอากาศ ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากผู้ใช้บริการ นอกจากนี้การปล่อยกู้จากธนาคารก็มีข้อจำกัดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งสาธารณะด้วยเช่นกัน เนื่องจากปล่อยให้กู้ในเวลาเพียง 25 ปี ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องใช้เวลามากกว่า 25 ปีถึงจะคืนทุน ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้นก็ต้องลงทุนในระบบขนส่งมวลชน ที่สำคัญต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน  

ขณะที่ผู้แทนจากสถานทูตเกาหลีใต้ได้ให้ความเห็นว่า การใช้บริการขนส่งสาธารณะในประเทศเกาหลีเป็นเรื่องสะดวกสบายมาก เนื่องจากใช้บัตรเครดิตเพียงใบเดียวก็สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือแม้แต่รถบัส นอกจากนี้ยังได้ส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากการใช้บริการบัตรเครดิต ประกอบกับคุณภาพและความสะดวกในการใช้บริการ เป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'เต็ดตรา แพ้ค\' เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมลูกค้าแห่งใหม่ มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย 'เต็ดตรา แพ้ค' เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมลูกค้าแห่งใหม่ มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย
  • \'อิไลด์ ไฟร์บอล\'ฟ้องผู้ละเมิดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ลูกบอลดับเพลิงอัตโนมัติ 'อิไลด์ ไฟร์บอล'ฟ้องผู้ละเมิดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ลูกบอลดับเพลิงอัตโนมัติ
  • ‘มูลนิธิอนันตชัย’ จัดกิจกรรม ’ร่วมบุญ แบ่งปัน’ร่วมแจกถุงยังชีพช่วยประชาชนลดภาระ ‘มูลนิธิอนันตชัย’ จัดกิจกรรม ’ร่วมบุญ แบ่งปัน’ร่วมแจกถุงยังชีพช่วยประชาชนลดภาระ
  • อาจารย์ มทร. เข้าพบร้อง \'มูลนิธิธรรมาภิบาล\' อาจารย์ มทร. เข้าพบร้อง 'มูลนิธิธรรมาภิบาล'
  • SAMART ประกาศไตรมาสแรกปี 68 รายได้โต กำไรพุ่ง SAMART ประกาศไตรมาสแรกปี 68 รายได้โต กำไรพุ่ง
  • 5 เหตุผลสำคัญที่เราควรตรวจวัดสายตาทุกปี 5 เหตุผลสำคัญที่เราควรตรวจวัดสายตาทุกปี
  •  

Breaking News

เช็คที่นี่! กรมอุตุฯพยากรณ์ทั่วไทยมี‘ฝนฟ้าคะนอง’ กทม.-ปริมณฑล 80% ของพื้นที่

‘พื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ’ ตัวแปรประสิทธิภาพแรงงาน

ลุ้นหมายจับ17ราย เอี่ยวตึกสตง.ถล่ม กมธ.เรียกบริษัทฯ แจงแก้แบบก่อสร้าง

เตรียมว๊าว!ได้เลย เมื่อ ‘พี-ป้าน’ เสิร์ฟความแซ่บ เลิฟซีนเดือดเรียกน้ำย่อย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved