วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ปั้น “ครูนักวิจัย” คว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น 3 ปีซ้อนจากสสอท.

วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ปั้น “ครูนักวิจัย” คว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น 3 ปีซ้อนจากสสอท.

วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 15.30 น.

วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ปั้น “ครูนักวิจัย” คว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น 3 ปีซ้อนจากสสอท. ย้ำใช้ “วิทยานิพนธ์” เป็นกระบวนการพัฒนาสมรรถนะวิจัย ไม่ใช่แค่เงื่อนไขจบการศึกษา

วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ตอกย้ำมาตรฐานหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ด้วยผลงาน “รางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น” จากสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ (สสอท.) ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นักศึกษาปริญญาโทไม่ได้เพียง “ทำวิทยานิพนธ์ให้จบ” แต่ต้องมีสมรรถนะด้านการวิจัยครบทั้ง “ความรู้–ทักษะ–การนำไปใช้จริง” จนผลงานมีคุณภาพในระดับที่สามารถแข่งขันและผ่านการคัดเลือกจากเวทีวิชาการระดับประเทศได้


อาจารย์ ดร.พจมาลย์ สกลเกียรติ ผู้อำนวยการหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า หลักสูตรฯ ให้ความสำคัญกับ “สมรรถนะด้านการวิจัย” (Research Competency) เป็นหนึ่งในผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังของผู้เรียน โดยกำหนดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ใน มคอ.2 ว่า บัณฑิตต้องสามารถสร้างชิ้นงานวิจัยและผลงานทางวิชาการที่นำไปใช้ได้จริงในบริบทการจัดการเรียนการสอน

รางวัล 3 ปีซ้อน สะท้อนคุณภาพทั้ง “คนทำวิทยานิพนธ์–ระบบที่ดูแล”

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่นจาก สสอท. อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ปี 2566 นายตุลา ประทับ (ครูนุ๊ก) ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนจิตรลดา , ปี 2567 นางสาวฐิตาพร คำฝึกฝน (ครูมายด์) ครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี และ ปี 2568 นายชวัลวิทย์ บูรณวนิช (ครูจอม) ครูภูมิศาสตร์ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา โดยทั้งสามท่านเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทของวิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ที่ผ่านกระบวนการพัฒนาด้านการวิจัยอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่มต้นเรียนจนถึงการทำวิทยานิพนธ์ เสนอผลงาน และนำไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

“การได้รางวัล 3 ปีซ้อน เป็นตัวสะท้อนคุณภาพของทั้งนักศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา และระบบการดูแลของหลักสูตร เราไม่ได้มองวิทยานิพนธ์เป็นแค่เงื่อนไขจบการศึกษา แต่เป็น ‘ชิ้นงาน’ หรือ Product ที่พิสูจน์ว่า กระบวนการเรียนรู้ตลอดหลักสูตรสามารถพัฒนานักศึกษาให้เป็นครูนักวิจัยได้จริง” อาจารย์ ดร.พจมาลย์ กล่าว

ทำไม “สมรรถนะด้านการวิจัย” จึงสำคัญสำหรับครูยุคใหม่

อาจารย์ ดร.พจมาลย์ อธิบายว่า ปรัชญาของหลักสูตรมองว่า “ครูไม่ได้มีหน้าที่สอนตามตำราอย่างเดียว แต่ต้องเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้และแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์” ดังนั้น สมรรถนะด้านการวิจัยจึงไม่ใช่ทักษะเสริม แต่เป็น “หัวใจ” ที่ทำให้ครูสามารถ วิเคราะห์ปัญหาในชั้นเรียนได้อย่างมีระบบ การออกแบบนวัตกรรมการสอนหรือรูปแบบหลักสูตรใหม่ ๆ การทดลองใช้ ปรับปรุง และประเมินผลด้วยข้อมูลจริง และสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับโรงเรียนและวงวิชาชีพครู

“เราไม่ได้ต้องการให้เด็กแค่ ‘รู้วิธีวิจัย’ แต่ต้อง ‘วิจัยเป็น’ และ ‘นำไปใช้ได้จริง’ ในบริบทโรงเรียนของตนเอง วิทยานิพนธ์จึงเป็นมากกว่าหนังสือเล่มหนึ่ง แต่มันคือหลักฐานว่าผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีกับการปฏิบัติจริง และสร้างประโยชน์ให้ผู้เรียนในชั้นเรียนของเขาได้” ผู้อำนวยการหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผย

วางเป้าหมายชัดเจน ตั้งแต่ปี 1: วิทยานิพนธ์คือ “ปลายทางของกระบวนการเรียนรู้”

ผู้อำนวยการหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ยังเปิดเผยอีกว่า ในหลักสูตรนี้ การพัฒนาสมรรถนะด้านวิจัยไม่ได้เริ่มต้นเฉพาะตอนลงทะเบียนทำวิทยานิพนธ์ แต่ “ปูทาง” ตั้งแต่ปี 1 เทอมแรก ผ่านรายวิชาและชิ้นงาน (Product) ต่าง ๆ ที่ออกแบบเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยชั้นปี 1 ภาคเรียนที่ 1 นักศึกษามีโอกาสศึกษาตัวอย่างวิทยานิพนธ์ที่สนใจในรายวิชาสถิติฯ และได้เริ่มคิดประเด็นปัญหาในชั้นเรียนของตนเอง ปี 1 ภาคเรียนที่ 2 ซึ่งทุกคนต้องเรียนวิชาการวิจัยในชั้นเรียน ลงมือออกแบบและทำวิจัยในบริบทห้องเรียนจริง โดยเฉพาะในช่วงฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และในระหว่างนั้น ในแต่ละรายวิชาจะมี “ชิ้นงานท้ายวิชา” ที่เชื่อมโยงไปสู่การทำวิทยานิพนธ์ เช่น วิชาทฤษฎีพื้นฐานทางการศึกษา  นักศึกษาต้องเขียนบทความวิชาการ วิชานวัตกรรมหลักสูตร  ต้องออกแบบหรือพัฒนาหลักสูตร เช่น หลักสูตรเสริม หลักสูตรท้องถิ่น ฯลฯ วิชานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ นักศึกษาต้องสร้าง “โมเดลการสอน” ของตัวเองและวิชาสถิติวิจัย นักศึกษาต้องร่างโครงร่างการวิจัยในชั้นเรียน

วิทยานิพนธ์ = กลไกพิสูจน์ Outcome ของหลักสูตร

ในมุมของหลักสูตร วิทยานิพนธ์ไม่ใช่ “ด่านสุดท้าย” ที่นักศึกษาต้องผ่านเท่านั้น แต่เป็น “เครื่องมือพิสูจน์” ว่าผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) โดยเฉพาะด้านสมรรถนะวิจัย เป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่ เพราะนักศึกษาต้องสามารถผลิต “ชิ้นงานวิจัย” ที่สมบูรณ์ ต้องวิเคราะห์ ออกแบบ ดำเนินการวิจัย และอภิปรายผลได้ด้วยตนเอง และผลงานต้องมีคุณภาพสูงพอที่จะนำไปนำเสนอในเวทีวิชาการ และตีพิมพ์ในวารสารที่มีฐานคุณภาพ (ตั้งแต่ TCI 2  ขึ้นไป) 

อาจารย์ ดร.พจมาลย์ เปิดเผยว่า สาขาวิชาได้ออกแบบ “SUCCESS Model” เป็นกรอบและกลไกในการดูแลนักศึกษาตลอดเส้นทางทำวิทยานิพนธ์ โดยผสานบทบาทของ “อาจารย์ที่ปรึกษาในฐานะพี่เลี้ยง (Mentor)” เข้ากับกิจกรรมของหลักสูตรอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นระบบกลไกในการพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย เข้าใจผู้เรียน โค้ชอย่างเป็นระบบ ติดตามอย่างใกล้ชิด เสริมทักษะ และผลักดันให้เผยแพร่ผลงาน เป็นการยืนยันว่าไม่ได้พัฒนานักศึกษาให้ ‘รู้วิจัย’ แค่ในห้องเรียน แต่ทำให้เขา ‘เป็นครูนักวิจัย’ ได้จริงในสนามปฏิบัติ เพื่อให้การพัฒนานักศึกษาด้านการวิจัยเป็นไปอย่างเป็นระบบ

โดย SUCCESS Model ประกอบด้วย  S – Setting Goal ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน , U – Understanding เข้าใจพื้นฐานและศักยภาพของนักศึกษา , C – Coaching โค้ชให้คิดเป็นระบบ , C – Checking Progressตรวจสอบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง , E – Encouragement ให้กำลังใจไม่ขาด , S – Skill Developmentเสริมทักษะการวิจัยและการเขียน และสุดท้าย S – Sharing Result สนับสนุนให้เผยแพร่ผลงาน

อาจารย์ ดร.พจมาลย์ ย้ำว่า การส่งวิทยานิพนธ์เข้าประกวดรางวัล สสอท. ไม่ใช่ “เป้าหมายหลัก” ของหลักสูตร แต่เป็น “เวทีพิสูจน์คุณภาพ” และใช้เป็น Benchmark เทียบกับสถาบันอื่น โดยก่อนส่งผลงานเข้าประกวด วิทยาลัยครุศาสตร์จะมีคณะกรรมการคัดเลือกจากเล่มที่ได้รับการประเมินระดับ “ดีเยี่ยม” ในการสอบวิทยานิพนธ์ พิจารณาทั้งคุณภาพเนื้อหา ความร่วมสมัยของประเด็นวิจัย ความแปลกใหม่ของโมเดลหรือรูปแบบการสอน ตลอดจนแหล่งตีพิมพ์ที่ผลงานได้รับการเผยแพร่

“การได้รางวัล 3 ปีซ้อน แปลว่า เมื่อผลงานของเราถูกนำไปเปรียบเทียบกับสถาบันอื่น ๆ แล้ว ‘ยืนอยู่ได้’ ในมาตรฐานระดับประเทศ แต่ในมุมของเรา สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่อยู่ที่นักศึกษากลับไปเป็น ‘ครูที่ใช้การวิจัยแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้จริง’ และสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้โรงเรียนและผู้เรียนของเขา” อาจารย์ ดร.พจมาลย์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านนายชวัลวิทย์ บูรณวนิช ศิษย์เก่าหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เจ้าของรางวัลนักศึกษาดีเด่น ประเภทวิทยานิพนธ์ดีเด่น ระดับปริญญาโท กลุ่มสาขามนุษยศาสตร์ เปิดเผยว่า งานวิทยานิพนธ์ของตนมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะทางภูมิศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่าน “เทคนิคการเรียนรู้แบบงานภาคสนามร่วมกับการศึกษาค้นคว้า” เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิมในห้องเรียนสู่การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

ทั้งนี้การเลือกหัวข้อนี้มาจากประสบการณ์ตรงในฐานะครูสอนภูมิศาสตร์ ซึ่งพบว่าเด็กจำนวนมากยังเรียนด้วยวิธีเดิมคืออ่านตำราและทำใบงานในห้องเรียน จึงต้องการพัฒนากระบวนการสอนที่ทำให้นักเรียนได้ “เห็นโลกจริง” ใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์จริง และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นจากการลงพื้นที่ โดยเนื้อหาในห้องเรียนยังคงเดิม เพียงแต่ถูกออกแบบให้บูรณาการกับการปฏิบัติจริงภายนอกห้องเรียน

สำหรับความรู้สึกหลังได้รับรางวัล นายชวัลวิทย์ ระบุว่า แม้ตอนเริ่มต้นจะไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่รู้สึกยินดีและภูมิใจอย่างมาก เพราะงานวิจัยนี้เป็นผลงานที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การอ่านงานวิชาการจำนวนมาก ไปจนถึงการออกแบบรูปแบบการสอนที่ต้องพิสูจน์ได้ว่าตอบโจทย์การเรียนรู้ของนักเรียนจริง พร้อมกล่าวขอบคุณคณาจารย์วิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันงานวิจัย โดยทำหน้าที่เหมือน “พี่เลี้ยง” ช่วยแนะนำ ตรวจแก้ และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านรูปแบบการสอน การเขียนงานวิชาการ และขั้นตอนวิจัยต่าง ๆ ทำให้สามารถสร้างงานที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพครู

นายชวัลวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงความสำเร็จของหลักสูตรที่คว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น 3 ปีซ้อนว่า เป็นผลจากความร่วมมือทั้งของนักศึกษาและคณาจารย์ที่ทำงานอย่างเต็มที่ โดยหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตของวิทยาลัยครุศาสตร์ DPU ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเป็นครู แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถเรียนรู้ได้เต็มที่และเป็นไปตามมาตรฐานของคุรุสภา

“หลักสูตรนี้ทำให้ผมพัฒนาทั้งทักษะการสอนและความเป็นนักวิจัย ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ช่วยผลักดันจนงานสำเร็จ และทำให้ผมมีโอกาสได้รับรางวัลในครั้งนี้” นายชวัลวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top