ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 6 ปี 1958 ที่สวีเดน
เป็นครั้งแรกที่ “ฟุตบอลโลกไร้พ่อ” เมื่อ จูลส์ ริเมต์ บิดาแห่งศึกฟุตบอลโลก ได้เสียชีวิตไป วันที่ 16 ตุลาคม ปี 1956 ที่กรุงปารีส ขณะมีอายุ 83 ปี
ครั้งนี้ “แซมบ้า” บราซิล เดินทางมาสร้างประวัติศาสตร์บนแผ่นดินไวกิ้ง โดยเป็นทีมแรกที่ได้แชมป์นอกทวีป และนี่คือปฐมบทของการครองแชมป์โลกสมัยแรกของพวกเขา
พร้อมกับกำเนิดซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังที่ครองแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปี 249 วัน ที่ชื่อว่า “เอ๊ดสัน อรันเตส เดอ นาซิเมนโต้” หรือที่โลกรู้จักกันจนถึงทุกวันนี้ว่า.....เปเล่!!!
เปเล่ ได้โอกาสลงเล่นครั้งแรก คือการออกสตาร์ทรอบแรกนัดสุดท้ายพร้อม ๆ กับ “นกน้อย” การ์รินช่า ในเกมกับ สหภาพโซเวียต นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการฟุตบอลไปตลอดกาล
ก่อนที่ เปเล่ จะเร่งเครื่องยิงในรอบน็อคเอาท์ และระเบิดแฮททริคในเกมรอบตัดเชือกกับ ฝรั่งเศส และยิงสองประตูสุดสำคัญในนัดชิงชนะเลิศที่โค่น สวีเดน 5-2
น่าสนใจก็คือการเข้าชิงของ สวีเดน เพราะในรอบรองฯ อิสต์วาน โซลท์ ผู้ตัดสินชาวฮังการี ได้ไล่ เอริค ยุสโคเวียค ของเยอรมันตะวันตกออกจากสนาม โดยถูกมองว่าเป็นการ”เอาคืน” ที่นักเตะอินทรีเหล็ก ทุบ ฮังการี ในนัดชิงเมื่อ 4 ปีก่อนอีกด้วย
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ 4 ชาติจากสหราชอาณาจักร เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมกัน นั่นคือ อังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ
พร้อมกันี้ จุสต์ ฟ็องแต็ง ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส ซัดประตูได้ถล่มทะลายถึง 13 ประตู เป็นสถิติตลอดกาลจนถึงนาทีปัจจุบัน
ที่สุดแห่งความทรงจำ : ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการกำเนิดของ เปเล่ อัญมณีทรงคุณค่าแห่งวงการฟุตบอล
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 7 ปี 1962 ที่ชิลี
ฟุตบอลโลก ทำให้ทั่วปฐพีได้รู้จัก “ชิลี” ดินแดนในอเมริกาใต้
พวกเขาปรับปรุงสนามแห่งชาติในกรุงซานติอาโก ให้มีความจุเป็น 77,000 คน จากเดิมคือ 45,000 คน และสร้างสนามใหม่ขึ้นที่ วิน่า เดล มาร์ และอาริก้า แต่มีอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องของสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ
สาหัสกว่าก็คือแผ่นดินไหว เมื่อ 22 พฤษภาคม 1960 ด้วยความแรงถึง 9.4-9.6 แม็กนิจูด สั่นสะเทือนไปทั้งแปซิฟิค แรงสุดเท่าที่ดินแดนนี้เคยพบมา ที่เรียกกันว่า The 1960 Valdivia earthquake
สนามที่ใช้จัดการแข่งขันทั้ง 4 สนาม ได้รับความเสียหายอย่างมาก จนเกือบถูก ฟีฟ่า ยกเลิกสิทธิการเป็นเจ้าภาพ แต่ก็สามารถซ่อมแซมได้ทันเวลา
การดวลแข้งครั้งนี้มีการบันทึกถึงเหตุการณ์สำคัญ การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่าง ชิลี กับ อิตาลี จนเป็นที่มาของตำนาน “The Battle of Santiago”
เหตุเกิดขึ้นจาก นักข่าวอิตาลี คือ อันโตนิโอ กิเรลลี่ กับ คอร์ราโด้ ปิซซิเนลลี่ เขียนบทความปลุกให้เกมนี้เดือดก่อนเกม โดยเขียนว่า ซานติอาโก้ เหมือนกับที่ทิ้งขยะขนาดใหญ่มากกว่าเมืองจะจัดฟุตบอลโลก
“โทรศัพท์ใช้การไม่ได้, รถแท็กซี่หายากกว่า สามี ผู้ซื่อสัตย์, ประชาชนไม่รู้หนังสือ, ขาดสารอาหาร, ติดเหล้า และยากจน”
เกมต็มไปด้วยความตึงเครียดมีการฟาวล์ตั้งแต่ 12 วินาทีแรก และเป็น จอร์โจ้ เฟร์รินี โดนไล่ออกตั้งแต่นาทีที่ 12 เขาไม่ยอมออกจากสนาม เพราะนักเตะชิลี ก็ฟาวล์หนักเช่นกัน ทำให้ตำรวจต้องมาคุมตัวออกไป และ มาริโอ ดาวิด โดนไล่ออกไปอีกคนในนาทีที่ 41
อิตาลี เหลือ 9 คนและแพ้ไป 0-2 หลายคนมุ่งประเด็นไปที่ เคน แอชตัน ผู้ตัดสินจากอังกฤษ ที้ไม่ไล่ ลีโอเนล ซานเซซ ออกจากสนาม ทั้งที่เป็นค่อยต่อย มาริโอ เดวิด ชัดเจน ก่อนที่ เดวิด จะตบะแตกเอาคืนและโดนไล่ออก รวมไปถึงจังหวะการออกหมัดของ ซานเชซ ทำให้ ฮุมแบร์โต้ มาสชิโอ ของอิตาลี ถึงกับจมูกหัก แต่ได้เล่นต่อหน้าตาเฉย!!!
บราซิล ป้องกันแชมป์ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะเปลี่ยนกุนซือ แต่นักเตะในทีมยังคงมีตัวแกร่งมากมาย และเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากอิตาลี ที่เป็นแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ด้วยสไตล์ 4-2-4
แม้ว่า เปเล่ จะเจ็บอดเล่นตั้งแต่นัดทื่ 2 แต่ขุนพลยอดเยี่ยมเต็มทีมไปหมดทั้ง นีลตัน ซานโต๊ส, ดีดี้, มาริโอ ซากาโล่, การ์รินช่า และอมาริลโด้ โดยนัดชิงปราบ เชโกสโลวาเกีย 3-1
ที่สุดแห่งความทรงจำ : บัตรประจำตัวนักเตะของ เปเล่ สะกดชื่อผิดจาก “เอ๊ดสัน” มาเป็น “เอดิสัน” หน้าตาเฉย
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 8 ปี 1966 ที่อังกฤษ
อังกฤษ ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพครั้งแรก และครั้งเดียวจนถึงเวลานี้ ที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาก็เป็นแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงเวลานี้เช่นเดียวกัน
อังกฤษ ใช้ถึง 8 สนามในการเป็นเจ้าภาพ แต่ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น อังกฤษ เกือบพลาดพลั้งครั้งรุนแรงอย่างที่สุด เมื่อถ้วยแชมป์โลกที่นำถ้วยมาตั้งแสดง ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม 4 เดือนในงาน "Sport with Stamps" จัดที่เวสต์มินสเตอร์ หายไปอย่างมีเงื่อนงำ
จากนั้น 1 สัปดาห์ถ้วยถูกค้นพบโดย “เจ้าพิคเกิลส์” สุนัขเพศผู้วัย 4 ปี ที่สวนสาธารณะซูบาร์บาน การ์เด้น ในบูลาห์ ฮิลล์ อัปเปอร์ นอร์วู้ด ทางใต้ของมหานครลอนดอน
ในการดวลแข้งครั้งนี้ เกาหลีเหนือ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการาคว่ำ อิตาลี 1-0 ที่สนามอายซั่ม พาร์ค ในเมืองมิดเดิ้ลสโบรห์ และพวกเขาเกือบเข้ารอบตัดเชือกเมื่อนำ โปรตุเกส 3 ลูก ก่อนจะแพ้ไป 3-5
พร้อมกับมีสุดยอดนักเตะมากมายลงเล่นในครั้งนี้ อาทิ “เสือดำแห่งโมซัมบิก” ยูเซบิโอ ของ โปรตุเกส และ “แมงมุมดำ” เลฟ ยาชิน ของสหภาพโซเวียต ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ “ไข่มุกดำ” เปเล่ ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอีกครั้ง และบราซิล แชมป์โลก 2 สมัยตกรอบแรกอย่างเจ็บปวดที่สุด
อังกฤษ ผงาดแชมป์โลกได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะเหนือ เยอรมันตะวันตก ในช่วงต่อเวลา 4-2 และเป็นครั้งแรกที่มีการยิงแฮททริคในนัดชิงดำจาก เจฟฟ์ เฮิร์สท์ แต่ประตูที่สองของเขา และประตูขึ้นนำ 3-2 ของอังกฤษ กลายเป็นปริศนาตลอดกาลว่า ลูกนั้นเข้าหรือไม่???
แต่ยังไง อังกฤษ ก็ได้แชมป์ไปแล้ว..........
ที่สุดแห่งความทรงจำ : ลูกยิงของ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ คือรอยร้าวอีกครั้งระหว่าง อังกฤษ กับ เยอรมัน เป็น”ประตูผี”ที่ไม่มีวันตาย
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 9 ปี 1970 ที่เม็กซิโก
เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลก เดินทางไปยังทวีปอเมริกากลาง หรือ คอนคาเคฟ และนี่คือ “รุ่งอรุณแห่งฟุตบอลโลก”
มีการถ่ายทอดสดด้วยระบบ”ทีวีสี”เป็นครั้งแรก, มี”ลูกฟุตบอล”ยุคใหม่อย่าง เทลสตาร์ และกำลังจะถ่ายเลือดใหม่ เพราะกำลังจะหมดยุคทองของ เปเล่
ที่สำคัญก็คือ ถ้วยจูลส์ ริเมต์ กำลังจะปิดตำนานของตัวเอง
บราซิล ที่ปวดร้าวจากฟุตบอลโลกคราก่อน เดินหน้ากลับมาด้วยพลังที่มากขึ้นกว่าเดิม ขุมกำลังสุดยอดทั้ง เปเล่, ริเวลลิโน่, ทอสเทา, คาร์ลอส อัลแบร์โต้, เกอร์สัน ก่อนจะก้าวไปเป็นแชมป์โลก ด้วยการต้อน อิตาลี ในนัดชิง ขาดลอย 4-1
มวลเหตุมาจากความยอดเยี่ยมของ บราซิล บวกกับ อิตาลี หมดพลังหลังจากใส่หมดแม็คในรอบตัดเชือกที่พวกเขาน็อค เยอรมันตะวันตก 4-3 ในแมทช์ที่ได้รับการขนานนามว่า "The Game of the Century"
ลูกเซฟด้วยการกระโดดจากเสาแรกไปที่เสาสองของ กอร์ดอน แบงค์ส จากการโหม่งของ เปเล่ ถูกยกให้เป็น "The greatest save of all time" แต่อังกฤษ ผิดพลาดมหันต์แพ้ เยอรมันตะวันตก 2-3 ด้วยการพลาดท่าเปลี่ยน บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ออกจากสนาม ทำให้กลับมาแพ้ทั้งที่นำก่อน 2-0
ท้ายที่สุด เปเล่ ครองแชมป์โลกสมัยที่ 3 เป็นคนแรกและคนเดียวของโลก ขณะที่ มาริโอ ซากาโล่ เป็นแชมป์โลกทั้งการเป็นนักเตะและกุนซือคนแรก ที่สำคัญก็คือ บราซิล ได้กรรมสิทธิ์ครอบครองถ้วยจูลส์ ริเมต์ แต่เพียงผู้เดียว
ในฐานะแชมป์โลก 3 สมัยชาติแรก
ที่สุดแห่งความทรงจำ : ประตูปิดสนามของ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ คือที่สุดแห่งความทรงจำ และถูกนำมาฉายทุกยุคทุกสมัยของเวิลด์คัพ
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 10 ปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตก
ฟุตบอลโลกยุคใหม่กับถ้วยใหม่ “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ”
ประเด็นการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ของ เยอรมันตะวันตก น่าสนใจตรงที่ เยอรมันตะวันออก ผ่านเข้ารอบมาด้วย และอยู่ในกลุ่มเดียวกัน อีกทั้ง เนเธอร์แลนด์ ที่ไม่ได้มาบอลโลกตั้งแต่ปี 1938 ก็ได้มาแข่งขันเช่นเดียวกัน
เจ้าภาพสั่งให้มีการรักษาความปลอดภัยกันอย่างเข้มงวดกว่า หลังจากก่อนหน้านี้ 2 ปีในศึกโอลิมปิกเกมส์ มีนักกรีฑาอิสราเอล 11 คนถูกผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ฆ่าเสียชีวิต ประเด็นความปลอดภัยเจ้าภาพจึงดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ
จากนั้นศึกสายเลือดเยอรมัน ปรากฏว่า ฝั่งตะวันออก พลิกชนะ ตะวันตก 1-0 จากประตูชัยของ เยอร์เก้น สปาร์วาสเซอร์ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายตลอดกาลของฟุตบอลโลก
ขณะที่ เนเธอร์แลนด์ นำมาโดย “ท่านนายพล” ไรนุส มิทเชลล์ กับสไตล์การเล่นที่โลกตะลึงนั่นคือ “โททั่ล ฟุตบอล” หรือการเคลื่อนตัวทดแทนกันได้ทุกตำแหน่ง และมี โยฮัน ครัฟฟ์ นักเตะเทวดา เป็นแม่ทัพ
พวกเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ความสวยงามและความดุดันมาพร้อมกัน แถม ครัฟฟ์ ยังโชว์ลีลาการไขว้หลอกในเกมกับ สวีเดน เป็นที่มาของคำว่า “ครัฟฟ์เทิร์น” อันลือเลื่อง
ลงท้าย เยอรมันตะวันตก ก็ทำเหมือนกับที่เคยปราบ ฮังการี ในบอลโลก 1954 ด้วยการใช้ความแกร่งบดชนะ เนเธอร์แลนด์ ที่งดงามในนัดชิง 2-1
ฟรานซ์ เบ๊คเค่นบาวเออร์ เป็นนักเตะคนแรกที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ชูถ้วยแชมป์ถ้วยใหม่นามว่า “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ”....................
ที่สุดแห่งความทรงจำ : “ครัฟฟ์ เทิร์น” กับ “โททัลฟุตบอล” นี่คือที่สุดแห่งคำว่า “ราชันผู้ไร้มงกุฏ” อย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี