แหล่งกำเนิดพลังงานความร้อน มนุษย์เราได้พลังงานความร้อนมาจากหลายแห่งด้วยกัน ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ พลังงานความร้อนใต้พิภพ หรือพลังงานอุณหธรณี เป็นพลังงานธรรมชาติที่เกิดจากความร้อนที่ถูกกักเก็บอยู่ใต้ดินขึ้นมาใช้ ความร้อนดังกล่าวอยู่ในแกนกลางของโลกเกิดขึ้นมาตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้น อุณหภูมิอาจสูงถึง 5,000 องศาเซลเซียส ความร้อนดังกล่าวทำให้น้ำที่เก็บกักอยู่ในโพรงหิน ร้อนมีอุณหภูมิอาจสูงถึง 370 องศาเซลเซียส ความดันภายในโลก ดันน้ำขึ้นมาผิวดินกลายเป็นไอ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แล้วตกลงมาเป็นฝนหรือหิมะ แล้วไหลกลับลงไปใต้ดินนำความร้อนขึ้นมาอีก พลังงานนี้จึงถูกเรียกว่า พลังงานหมุนเวียน เราสูบน้ำร้อนนี้ขึ้นมาใช้ให้ความอบอุ่นแก่บ้านเรือนในประเทศหนาว ละลายหิมะตามถนนหนทาง ปรุงอาหาร ให้ความร้อนในเรือนกระจกเพื่อปลูกผักสวนครัว และที่จะกล่าวถึงมากที่สุดในหัวข้อนี้ ก็คือ การนำพลังงานความร้อนมาผลิตกระแสไฟฟ้า
การผลิตกระแสไฟฟ้า
ตัวเลขเมื่อปี 2010 รายงานว่า มี 24 ประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพ โดยมีปริมาณการผลิตรวมกัน10,959.7 MW (ประเทศไทย 0.3 MW มีโรงเดียวที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มาตั้งแต่ปี 2533) มีอัตราเจริญเติบโตที่ 20% ต่อปีคาดว่าในปี 2015 จะมีการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 18,500 MW เนื่องจาก มีปัญหาในบางพื้นที่ สหรัฐเป็นผู้ผลิตสูงสุด โดยมีกำลังการผลิตที่ 3,086 MW อันดับสอง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ที่ 1,904 MW ซึ่งเป็น 27% ของพลังงานที่ใช้ในประเทศทั้งหมด
เทคโนโลยีใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแหล่ง พลังงานความร้อนใต้พิภพ
เทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้เรียกว่า Engineered or Enhanced Geothermal Systems (EGS) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในแหล่งที่มีเพียงแต่ชั้นหินให้ความร้อนระดับตื้นแต่ไม่มีระบบน้ำใต้ดิน โดยการสร้างชั้นเก็บกักน้ำขึ้นมาเอง (artificial geothermal reservoirs) โดยการทำให้ชั้นหินเดิมที่เป็นชั้นหินทึบน้ำกลายเป็นชั้นหินที่น้ำสามารถซึมผ่านได้ (Permeability Rock) เสียก่อน ด้วยวิธีการเพิ่มความดัน ไฮดรอลิคลงไปในชั้นหินเพื่อกระตุ้นให้รอยแตกเล็กๆ ในหินแยกและขยายตัวมากขึ้นเชื่อมโยงต่อเนื่องกันเป็นโครงข่ายทำให้น้ำไหลผ่านและหมุนเวียนได้ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายเทความร้อนจากชั้นหินสู่น้ำที่หมุนเวียนเข้ามาคล้ายกับการทำงานของหม้อน้ำรถยนต์ และจากนั้นจึงเติมน้ำจากผิวดินเข้าไปในชั้นหินเก็บกักน้ำที่เราสร้างขึ้นมา น้ำนี้จะถูกใช้หมุนเวียนทำให้ไม่ต้องเติมน้ำบ่อยๆ
ข้อดีและข้อเสียพลังงานความร้อนใต้พิภพ
ข้อดี การผลิตพลังความร้อนใต้พิภพแทบไม่ก่อมลพิษหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาเลย พลังงานนี้เงียบและน่าเชื่อถืออย่างที่สุด โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพผลิตพลังงานประมาณร้อยละ 90 ตลอดเวลาเมื่อเทียบกับร้อยละ 65-75 ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล
ข้อเสีย หากพิจารณาในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วก็อาจจะมีผลกระทบได้เช่นเดียวกับการใช้พลังงานชนิดอื่นๆ เช่น ถ้าน้ำจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมีปริมาณแร่ธาตุอยู่ในระดับสูงเมื่อนำน้ำมาใช้แล้วระบายลงในแหล่งน้ำธรรมชาติตามผิวดินอาจเกิดผลกระทบต่อน้ำผิวดินที่ใช้ประโยชน์ในด้านอุปโภค บริโภค และน้ำในระบบบาดาลได้
เส้นทางสู่ความสำเร็จในการนำมาใช้แบบเชิงพาณิชย์
ประเทศไทยก็มีแผนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ให้ได้ 1 MW ภายใน 10 ปี แต่จะใช้เทคโนโลยีอะไรยังไม่ทราบ โดยอยู่ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 10 ปี ปัจจุบันประเทศเรามีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ แบบดั้งเดิมอยู่ 1 แห่ง ซึ่งกรมทรัพยากรธรณี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันศึกษาทดลองผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีกำลังการผลิต 300 กิโลวัตต์ซึ่งพบว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 เท่า รวมถึงค่าบำรุงรักษาดูแลระบบยังถูกกว่าหลายเท่า และอายุการใช้งานยาวนานกว่าอีกด้วย
กองประชาสัมพันธ์
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี