นักเตะลิเวอร์พูลรุ่นหลานกำลังเดินตามประวัติศาสตร์

อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่กำลังเดินหน้าสู่เส้นทางการคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ

นั่นคือการลงเตะชนะติดต่อกันในบ้านตัวเองต่อเนื่อง

นาทีปัจจุบัน ขุนพลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำได้แล้วทั้งสิ้น 20 นัดติดต่อกัน ดีที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก เท่ากับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้

สถิติที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ถูกสร้างเอาไว้ในปีปฏิทิน 1972 ระหว่างเดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนธันวาคม ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

“หงส์แดง” ในยุคของปรมาจารย์ลูกหนัง “บิลล์ แชงคลี่ย์” นั่นเอง

ที่ทำเอาไว้ทั้งสิ้น 21 นัดด้วยกัน

เป็นช่วงคาบเกี่ยวซีซั่น 1971-72 กับ ซีซั่น 1972-73 ซึ่งละม้ายคล้ายกับครั้งนี้ที่ ลิเวอร์พูล รุ่นหลาน ทำผลงานทะลุมาในซีซั่น 2018-19 และ ซีซั่น 2019-20

............ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 48 ปีก่อน “หงส์แดง” ที่มือเปล่าถึง 7 ปีติดต่อกัน

หลังจากซีซั่น 1965-66 ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 มาครอง แต่นับจากนั้น ทีมยุคแรกของ บิลล์ แชงคลี่ย์ เริ่มถดถอยและโรยารา ต้องปิดตัวลงตามสภาพเวลา, อากาศ และร่างกาย ระหว่างปี 1966 ไปจนถึงปี 1972 “หงส์แดง” มือเปล่ามาโดยตลอด เนื่องจาก บิลล์ แชงคลี่ย์ กำลังผลัดใบนักเตะในทีม

ผู้เล่นหลายคนถูกดึงเข้ามาร่วมทีมในช่วง 7 ปีนั้น มีชื่อของ เรย์ เคลเมนซ์,อเล็กซ์ ลินด์เซย์, ลาร์รี่ ลอยด์, สตีฟไฮจ์เวย์, จอห์น โตแชค และเควิน คีแกนคือการลงทุนสุดคุ้มค่าด้วยสายตาอันแหลมคม

โฉมหน้านักเตะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี ที่ทำสถิติชนะต่อเนื่องเอาไว้เมื่อ 48 ปีที่แล้ว

บวกกับนักเตะท้องถิ่นที่อยู่ในทีมมานานอย่าง เอียน คัลลาแกน, คริส ลอว์เลอร์ยังเป็นขุนพลต่อเนื่องจากทีมยุคแรก และจอมหินอย่าง ทอมมี่ สมิธ

น่าเสียดายที่ โทนี่ เฮทลี่ย์ ไม่ได้ดีเหมือนที่คาดเอาไว้ เช่นเดียวกับ อลัน อีแวนส์กองหน้าดาวรุ่งค่าตัว 100,000 ปอนด์คนแรกของสโมสร ที่ถูกทำร้ายที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งในบ้านเกิดที่วูล์ฟส์ ทำให้เขาเสียโฉม

ระหว่างทางที่มือเปล่า ในซีซั่น 1970-71 บิลล์ แชงคลี่ย์ พาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ แต่แพ้ อาร์เซนอล เป็นคำรบสอง ด้วยสกอร์ 1-2 และเข้าถึงรอบตัดเชือกอินเตอร์-ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ หรือยูฟ่า คัพ ก่อนจะแพ้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์รวม 0-1

ซีซั่น 1971-72 ลิเวอร์พูล เริ่มกลับมาน่ากลัวเมื่อบี้แชมป์กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้, ลีดส์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างถึงพริกถึงขิง จนได้รับการขนานนามเป็นซีซั่น“A four-horse race” ก่อนที่ ดาร์บี้ จะเป็นแชมป์ด้วยการมี 58 คะแนน

มีคะแนนเหนือ ลีดส์, ลิเวอร์พูล และแมนฯซิตี้ เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น ลิเวอร์พูล แพ้แชมป์แค่แต้มเดียว ก่อนจะเดินหน้าสู่ความสำเร็จในซีซั่นต่อมา

ฤดูกาล 1972-73 นักเตะที่ถูกดึงเข้ามาเสริมทัพเพื่อเป็นตัวหลักคือ ปีเตอร์ คอร์แม็ค มิดฟิลด์เลือดสก็อตวิสกี้ วัย 25 ปีราคา 110,000 ปอนด์ จาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งการซื้อที่ยอดเยี่ยมของสโมสร

อันที่จริงแล้ว ปีเตอร์ คอร์แม็ค เป็นที่สนใจของ บิลล์ แชงคลี่ย์ ตั้งแต่เขาอายุได้ 20 ปีตอนเทิร์นโปรใหม่ๆ กับ ฮิบเบอร์เนี่ยน พร้อมกับคำบอกเล่าจาก บ็อบ แชงคลี่ย์
พี่ชายของบิลล์ ที่เคยเป็นโค้ชให้กับ ปีเตอร์ คอร์แม็ค โดยตรง ในช่วงที่ถูกปล่อยยืมไปยังโตรอนโต้ ซิตี้

บิลล์ แชงคลี่ย์ ปรมาจารย์แห่งแอนฟิลด์ ผู้ทำสถิติชนะในบ้านติดต่อกันมากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ 21 นัด เมื่อปี 1972

ซีซั่นนี้ บิลล์ แชงคลี่ย์ มี 23 นักเตะอยู่ในมือ ที่สำคัญก็คือ ทุกคนดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจในแผนการเล่นอยู่แล้ว ก่อนจะก้าวไปเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ

เอียน คัลลาแกน บนวัย 30 ปี ยังคงเป็นแกนหลัก พร้อมกับลงขับเคลื่อนในแดนกลางในลีกครบทั้ง 42 นัด ลงเล่นทุกรายการ 66 เกมสูงสุดในทีม แต่ไม่ใช่คนเดียวที่ทำได้

คริส ลอว์เลอร์ แบ๊กคู่บุญเด็กท้องถิ่นวัย 29 ปี และ ลาร์รี่ ลอยด์ เซ็นเตอร์แบ๊กยักษ์ใหญ่จากบริสตอล ก็ลงเล่นครบทุกนัดเช่นเดียวกัน

ขณะที่ตัวรุก การจับคู่กันของ เควิน คีแกน กับ จอห์น โตแช็ค เริ่มลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเล่นร่วมกันมาเข้าสู่ปีที่ 3

จอห์น โตแช็ค ที่สมัยก่อนถูกบรรยายจากคนกีฬารุ่น 70 ว่า “จอห์น ต่อศักดิ์” มายังไงก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ มันคือความคลาสสิกของการออกเสียงเพื่อให้เข้าคนไทยหรืออย่างไงก็ไม่ทราบได้

แปลก...แต่ก็น่ารักดี

กองหน้าเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ 185 เซนติเมตร วัย 21 ปี ย้ายจาก คาร์ดิฟฟ์ซิตี้ ข้ามฝั่งมาอยู่เมอร์ซี่ย์ไซด์ ด้วยราคา 110,000 ปอนด์ เมื่อ 11 พฤศจิกายน 1970 ไม่ธรรมดาแน่นอนสำหรับเด็กยุคนั้น

ขณะที่ เควิน คีแกน อ่อนกว่า จอห์น โตแช็ค เกือบ 2 ปี ตัวเล็กกว่าถึง 12 เซนติเมตร เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์กับสคันธอร์ป ยูไนเต็ด ย้ายมาในราคา 33,000 ปอนด์ และไม่มีทีท่าว่าทั้งคู่จะเล่นร่วมกัน เพราะ คีแกน เป็นมิดฟิลด์

สุดท้าย บิลล์ แชงคลี่ย์ ปรับตำแหน่งใหม่ให้ลงตัวอย่างเหลือเชื่อที่สุด

นอกจากเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 แล้ว ยังครองแชมป์ยูฟ่า คัพ นับเป็นการคว้าชัยชนะถ้วยยุโรปครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร

ทอมมี่ สมิธ ปราการหลังจอมหิน กัปตันทีมชุดนั้นที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์ทั้งบอลลีก และยูฟ่า คัพ

ลิเวอร์พูล โบยบินเหนือฟากฟ้ายุโรปเป็นครั้งแรกอย่างเต็มภาคภูมิ

กลับมาที่ชัยชนะต่อเนื่องในบ้านบิลล์ แชงคลี่ย์ นำทีมกำชัยนัดแรกตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 1972 เมื่อไล่ถลุง คริสตัล พาเลซ กระจุย 4-1 จากนั้นพวกเขาชนะอีก 9 นัดรวด ในแอนฟิลด์ ปิดซีซั่น 1971-72 ด้วยการชนะตุนไว้แล้ว 10 เกม

พอเปิดซีซั่นใหม่ 1972-73 “หงส์แดง”สตาร์ทด้วยการชนะสองทีมเชื้อแมนคูเนี่ยนทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์เดียวกันอีก 2-0 ก็เดินหน้าคว้าชัยจนถึงวันที่30 ธันวาคม ด้วยการชนะ คริสตัล พาเลซ(อีกรอบ) 1-0

ก่อนที่สถิติจะยุติลงด้วยการไล่ตามตีเสมอ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ แชมป์เก่า ที่มี ไบรอัน คลัฟ คุมทีม 1-1

ยิ่งไปกว่านั้นคือในอีกสองเกมต่อมาหนึ่งในนั้นคือแพ้ อาร์เซนอล คาแอนฟิลด์ 0-2

ทีมชุดนั้นใช้ผู้เล่นตัวหลัก ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู : เรย์ เคลเมนซ์,แบ๊กขวา : คริส ลอว์เลอร์, แบ๊กซ้าย : อเล็กซ์ลินด์เซย์, เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ : ทอมมี่ สมิธ(กัปตันทีม) กับ ลาร์รี่ ลอยด์, กองกลาง :เอ็มลีน ฮิวจ์ส, เอียน คัลลาแกน, ปีเตอร์ คอร์แม็ค และสตีฟ ไฮจ์เวย์, กองหน้า : จอห์น โตแช็ค และเควิน คีแกน

11 ตัวจริงลงตัวถึง 10 ตำแหน่ง เปลี่ยนแค่คนเดียวเท่านั้นจาก ไบรอัน ฮอลล์ มาเป็น ปีเตอร์ คอร์แม็ค

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือคนปัจจุบันของลิเวอร์พูล

บทสรุปซีซั่นนั้นด้วยฟอร์มการเล่นที่แรงต่อเนื่องในปีปฏิทินเดียวกัน ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งในศึกดิวิชั่น 1 พร้อมกับครองถ้วยยุโรปได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

บิลล์ แชงคลี่ย์ ยอดปรมาจารย์ลูกหนังผู้เข้ามาปลุก “หงส์หลับ” ให้กลับมาสะดุ้งตื่น 2 รอบ

แล้วหนนี้ล่ะ....คล็อปป์ จะเป็นแบบนั้นหรือไม่!?!?!?!

ด่านต่อไปคือ เวสต์แฮม ขุนค้อนที่กำลังหนีตาย

ใส่กันยับแน่...จันทร์นี้ที่แอนฟิลด์

บี แหลมสิงห์