การเดินทางการลุ้นแชมป์ของพรีเมียร์ลีก ยังคงดำเนินต่อไป ในช่วงที่หน้าสิ่วหน้าขวานทั้งผลการแข่งขันในสนาม และนอกสนาม
ในสนามต้องสู้ต้องบู๊เพื่อให้ได้ชัยชนะ
นอกสนามคือ มหันตภัยร้ายอย่าง “โคโรนาไวรัส” หรือ “โควิด-19”
แมทช์เดย์ที่ 28 ลิเวอร์พูล เอฟซี พลาดท่าเสียสถิติ “ไร้พ่าย”ในซีซั่น 2019-20 เมื่อแพ้ให้กับ “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด ไปแบบฟอร์มตกทั้งทีม ทำให้ 2 สถิติอมตะยังคงอยู่
1.สถิติไร้พ่ายในฤดูกาลเดียวกันของ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ และอาร์เซนอล
2.สถิติการออกสตาร์ทไร้พ่ายของสโมสรตัวเอง
สถิติแรกทำให้ เปรสตัน ที่ทำเอาไว้นานถึง 130 ปี และอาร์เซนอล ที่ทำเอาไว้ในยุคพรีเมียร์ลีก เมื่อ 17 ปีก่อน ยังคงยืนหนึ่งคู่อยู่ต่อไป ซึ่งยากมากๆ ที่จะทำลายลง เป็นกำแพงเบอร์ใหญ่ของจริงของทุกทีมที่ลงแข่งขัน
ขณะที่สถิติของตัวเอง ซึ่งถือว่ายืนหยัดมายาวนานถึง 32 ปี ในยุคที่ว่ากันว่า ลิเวอร์พูล เอฟซี ระเบิดฟอร์มได้ดีที่สุด นั่นคือการออกสตาร์ทในปี 1987-88 หรือยุคที่เรียกว่า “แซมบ้า ซีซั่น”
ถือว่าน่าเสียดายอย่างมากทั้งสองแบบ
เมื่อเทียบความต่างจากทีมชุดไร้พ่าย 29 นัดรวด กับไร้พ่าย 28 นัดรวด ถือว่าไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน
เพราะซีซั่นก่อนหน้าต้องเจอกับเรื่องราวที่ต่างกัน
ในยุคปัจจุบัน ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ขณะที่ยุคนั้นมือเปล่าไม่ได้แชมป์อะไรเลย
ว่ากันด้วยเรื่องตำนานมีดังนี้..........................
อลัน แฮนเซ่น กัปตันทีมลิเวอร์พูล ยุคแซมบ้าซีซั่น
ผู้จัดการทีม เคนนี่ ดัลกลิช เข้าไปลุยตลาด หลังจากพลาดทุกแชมป์ในซีซั่น 1986-87 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพิ่งดับเบิ้ลแชมป์ในปี 1986 โดยการเตรียมทีมนั้น ดัลกลิช จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนโฉมหน้าเกมรุกของทีม
เนื่องจากพระกาฬาดาวยิงอย่าง เอียน รัช ได้ย้ายไปอยู่กับยูเวนตุส ตูริน
ดัลกลิช ทุ่มเงิน 900,000 ปอนด์ ซื้อตัวปีกจากวัตฟอร์ด นั่นคือ จอห์น บาร์นส์ ที่เคยสร้างผลงานกระชากหลบผู้เล่นบราซิลคนแล้วคนเล่าเข้าไปสังหารที่มาราคาน่า สเตเดี้ยม เข้ามาเติมเกมด้านซ้าย
ทำให้ทีมกลับไปเล่นระบบ “มีปีกซ้าย” อย่างเต็มตัวอีกครั้งเหมือนกับยุค’70 สมัยของ สตีฟ ไฮจ์เวย์ ซึ่งเป็นยุคเดิมที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยแรก ปี 1977
ในฝั่งขวา ได้เติม เรย์ เฮาจ์ตัน จาก “ไอ้หัวกระทิง” อ็อกซ์ฟอร์ดยูไนเต็ด ในราคา 825,000 ปอนด์ เขาเป็นชาวไอริช เหมือนกับ รอนนี่วีแลน ที่สำคัญสไตล์การเล่นของทั้งสองคนคล้ายกันนั่นคือ วิ่งสู้ฟัด เทคนิคดีเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นประเภทมิดฟิลด์ไดนาโม และทำงานหนักเพื่อทีม
การที่ได้ทั้ง บาร์นส์ และเฮาจ์ตัน เข้ามา คือเหตุผลสำคัญเพราะ เคร็ก จอห์นสตัน ขาลุยคนสำคัญอยู่ในช่วงโรยรา และประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบซีซั่นนั้น ถือเป็นการเติมเกมด้านข้างที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมา จอห์นสตัน สามารถเล่นได้ทั้งสองฝั่ง
ประเด็นสำคัญคือ คู่กองหน้า
ทีมได้จัดการเซ็น จอห์น อัลดริดจ์ กองหน้าที่เกิดที่การ์สตัน ในเมืองลิเวอร์พูล แต่เป็นชาวสาธารณรัฐไอร์แลนด์ จาก อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ทีมเดียวกับ เฮาจ์ตัน ในสนนราคา 750,000 ปอนด์ ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 1987 หรือช่วงกลางซีซั่น
ต่อด้วยปฏิบัติการตามล่า “หมายเลข 7 คนใหม่” จึงดำเนินต่อไป เพราะยังไม่มีใครเหมาะสม ตอนนั้นกองหน้าของทีมนอกจากอัลดริดจ์ ก็มีอีก 3 คน คือ พอล วอลช์, อลัน เออร์ไวน์ และจอห์น ดูร์นิน
ทำให้ “คิง เคนนี่” ต้องตัดสินใจไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป้าหมายอยู่ที่ถิ่นไทน์ไซด์ เนื่องจากหมายเลข 7 ในตำนานของทีม ก็คือ “คิง เคฟ” เควิน คีแกน คือคนที่โลกจดจำ ต่อด้วยตัวของ เคนนี่ ดัลกลิช เอง และเมื่อเขาแทบจะไม่ได้ลงสนามอีกแล้ว
เช็คสั่งจ่ายจำนวน 1,900,000 ปอนด์ จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นค่าตัวของ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์
จอห์น บาร์นส์ ปีกพระกาฬที่มายืนปีกซ้ายแท้ๆ คนแรกกว่าทศวรรษ
ดาวเตะที่มีส่วนสูงเพียง 5 ฟุต 8 จากนอร์ทแธมเบอร์แลนด์ ไร้วี่แววว่าจะเป็นดาวดังเมื่อต้องพเนจรไปเล่นที่แคนาดา ถึงสองรอบ เคยอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด แต่ไม่เคยลงสนาม กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีกับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หลังจากย้ายกลับมาจากอเมริกาเหนือ ด้วยค่าตัวเพียง 150,000 ปอนด์
เบียร์ดสลี่ย์ กลายเป็นสถิติของสโมสร 1.9 ล้านปอนด์ ข้ามผ่านและก้าวกระโดดหนีทุกๆ สถิติในการซื้อของทีมไปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากทุกดีลก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีนักเตะคนไหนของลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ค่าตัวถึง 7 หลัก หรือว่าล้านปอนด์เลยแม้แต่รายเดียว!!!
...............ผมมีโอกาสได้ชมฟอร์มการเล่นของทีมชุดนี้ ผ่านทางการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เพียงเกมเดียวเท่านั้น นั่นคือนัดปิดท้ายฤดูกาล เป็นเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ 1988 ซึ่ง ลิเวอร์พูล แพ้พลิกล็อกให้กับ “จอมโหด” วิมเบิลดัน แบบตาหูแหก 0-1 ทั้งที่ก่อนเกมว่ากันว่า ถ้าเป็นมวยนี่เป็นต่อ 100-1 ยังไม่กล้ารอง
นั่นทำให้เรารู้จักคำว่า “อุบัติเหตุทางฟุตบอล” เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วันนั้น
แต่การได้เห็นฟอร์มการเล่นจาก VDO ต้องทึ่งกับฟอร์มการเล่นของทีม ทั้งจังหวะในการเล่น และจังหวะการเข้าทำที่เฉียบขาดมากๆ ชื่อวีดีโอม้วนนั้นก็คือ “Liverpool FC The Mighty Red”
…การเตรียมพร้อม และการลงทุนครั้งสำคัญ ออกดอกผลให้กับสโมสร เมื่อออกสตาร์ทด้วยสถิติที่ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน นั่นคือ ไม่แพ้ใครยาวนานถึง 29 นัด เท่ากับสถิติเดิมที่ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้สร้างเอาไว้ในยุค’70
ทีมขึ้นนำจ่าฝูง และนำแบบม้วนเดียวลิเกลาโรง ตั้งแต่การถล่ม วัตฟอร์ด 4-0 ที่แอนฟิลด์ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1987 จากนั้นก็นำยาวไปจนจบฤดูกาลได้แชมป์กันไปเลย!!!!
มีสถิติต่างๆ มากมายที่ทีมทำได้
“อัลโด้” จอห์น อัลดริดจ์ เข้าไปอยู่ในหัวใจของเดอะ ค็อป อย่างรวดเร็วเมื่อสตาร์ทยิงในลีก 9 นัดรวด
ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ พังประตูแรกของเขาตั้งแต่นัดที่ 2 ที่ลงสนาม
สตีฟ นิโคล ทำแฮททริกในเกมถ่ายทอดสดหนแรกของทีมในฤดูกาลนั้น ด้วยการบุกไปต้อน นิวคาสเซิ่ล 4-1
ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ นักเตะล้านปอนด์คนแรกของสโมสร
อลัน แฮนเซ่น โหม่งพังประตูแรกได้ในรอบ 3 ปี
ทีมทุบสถิติออกสตาร์ทดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 กับ 1978 ต่อด้วยทุบสถิติสตาร์ทไร้พ่ายของทีมปี 1949
ยอดผู้ชมผ่านทางการถ่ายทอดสด เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะ อาร์เซนอล 2-0 ที่แอนฟิลด์ มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 250 ล้านวิว
ทีมไม่เสียประตูติดต่อกัน 10 นัด โดย 4 เกมในนั้น ไมค์ ฮูเปอร์นายประตูสำรองต้องลงเล่น เนื่องจาก บรู๊ซ กร็อบเบลลาร์ ได้รับบาดเจ็บ
ถือว่าการทุบสถิติก็หวือหวาไม่แพ้ทีมชุดนี้
เส้นทางตลอดซีซั่นที่ยอดเยี่ยม แม้จะฉาบไปด้วยความสุดยอดของการเล่น แต่การแก้ไขปัญหาของ เคนนี่ ดัลกลิช และสต๊าฟได้รับการยกย่องอย่างมาก
ก่อนซีซั่นจะเริ่ม แยน โมลบี้ ที่เล่นให้ทีมกว่า 100 นัด ใน 3 ซีซั่นแรก โชคร้ายบาดเจ็บที่เท้าต้องพักยาวถึง 3 เดือน ทำให้เขาต้องเสียตำแหน่งตัวจริงของทีมไปเลย
รอนนี่ วีแลน ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตำแหน่ง จากมิดฟิลด์ด้านซ้าย ถูกจับขยับเข้ามาเล่นตรงกลาง จับคู่กับ สตีฟแม็คมาน ได้อย่างลงตัวสุดๆ เพราะทั้งสองคนมีทั้งบู๊มีทั้งบุ๋น กัดไม่ปล่อย กลายเป็นตัวเลือกอัตโนมัติไปในทันที
แยน โมลบี้ หายเจ็บกลับมายังไม่สามารถจะเบียดเข้าสู่ทีมได้ แม้กระทั่งปลายเดือนมกราคม 1988 ที่ รอนนี่ วีแลน เจ็บต้องพักยาว แต่สต๊าฟโค้ชได้เลือก ไนเจล สแป๊คแมน ทำหน้าที่แทนไปจนจบซีซั่น
จากนั้นเป็นต้นมา กว่าที่ แยน โมลบี้ จะกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง ก็ต้องรอถึงยุคของ แกรม ซูเนสส์ ปี 1992 เลยทีเดียว และก็ต้องรอจนกว่า รอนนี่ วีแลน เจ็บ จึงได้ลงสนาม!!!
ขณะที่แนวรับ อลัน แฮนเซ่น เจ้าของฉายา “จ๊อกกี้” ไม่รู้ไปกินเหล็กกินหินที่ไหนมา การลงเตะในฟุตบอลลีกเขาลงสนามถึง 39 จาก 40 นัด เป็นหัวใจสำคัญในแนวรับ ยามที่ มาร์ค ลอว์เรนสัน โรยรา โดย แฮนเซ่น จับคู่กับ แกรี่ จิลเลสพี สลับกับ แกรี่ แอ๊บเล็ตต์ ทำให้ทีมเสียแค่ 24 ประตูเท่านั้น
“หงส์แดง” สยายปีกจนน่าเกรงขาม ทำให้ผู้สันทัดกรณีเชื่อมั่นเหมือนกันว่า สถิติออกสตาร์ทไร้พ่ายที่ถูกสร้างเอาไว้ โดย “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด 29 นัด เมื่อปี 1973-74 กำลังจะกลายเป็นผุยผงรวมไปถึงการไร้พ่ายของ เบิร์นลี่ย์ ที่ทำไว้ 30 นัดแรก ซีซั่น 1920-21 น่าจะโดนทำลายด้วยน้ำมือของ ลิเวอร์พูล
นัดที่ 28 ของฤดูกาล เคนนี่ ดัลกลิช ที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 37 ปีแค่วันเดียว ใส่ชื่อตัวเองเป็นสำรองครั้งแรกของฤดูกาล แม้จะไม่ได้ลงเล่น แต่ทีมก็บุกไปชนะ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ที่กรุงลอนดอน 1-0
มาถึงวันที่ 16 มีนาคม 1988 ทาบสถิติไร้พ่าย 29 นัด เท่ากับ ลีดส์ สำเร็จ ด้วยการบุกไปเสมอกับ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่เบสบอล กราวน์ 1-1
แต่แล้วก็ต้องหยุดสถิติเอาไว้กับ “พี่ชายที่แสนดี” หรือว่า “เพื่อนบ้านตัวแสบ” อย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่เด็ดปีกพญาหงส์ลงได้ในวันที่20 มีนาคม 1988 จากประตูชัยประตูโทนของ เวย์น คลาร์ก
คลาร์ก มาจากตระกูลนักฟุตบอล พี่น้องทั้ง 5 คนเล่นบอลอาชีพทั้งหมด ประกอบด้วย แฟรงค์ คลาร์ก, ดีเร็ค คลาร์ก อัลลัน คลาร์ก และ เคลวิน คลาร์ก
หมายเหตุก็คือ แฟรงค์ คลาร์ก คนละคนกับ แฟรงค์ คลาร์ก ฟูลแบ๊กที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ กับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เพราะตระกูลนี้คือ Clarke ส่วนนักเตะสิงห์สั่งป่าสะกดสกุลว่า Clark
แต่พี่ชายอีกคนของ เวย์น คลาร์ก อย่าง อัลลัน คลาร์ก ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือแกนรุกสุดคลาสสิกของ ลีดส์ ยุคไร้พ่าย 29 นัดรวดนั่นเอง!!!!!
โลกมันกลมดีจริงๆ
ลิเวอร์พูล ยุคปัจจุบัน มิอาจจะทำลายสถิติออกสตาร์ทของทีมได้
นัดต่อมา ดัลกลิช ส่งตัวเองลงสนามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 1987 ในช่วง 3 นาทีสุดท้าย ทีมบดชนะ วิมเบิลดัน2-1 แต่เหมือนทีมยังเมาหมัดในนัดต่อมา ก็แพ้อีกครั้งให้กับ ฟอเรสต์1-2 ที่ซิตี้ กราวนด์
อย่างไรก็ตาม นั่นคือการพ่ายแพ้ 2 ครั้งในลีกตลอด 40 เกม ก่อนจะโกยอ้าวไปเป็นแชมป์ได้สำเร็จ
แน่นอนที่สุด ปีแห่งความยิ่งใหญ่ ได้รับการยกย่องยอมรับ จากยอดตำนานนักฟุตบอล, นักข่าว และคู่แข่ง
ที่สุดแห่งที่สุดของฟุตบอลก็คือ เกมที่ไล่ถล่ม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 5-0 ที่แอนฟิลด์ ตรงกับวันสงกรานต์ ปี 1988
ว่ากันว่านี่เป็นเกมที่ “เอาท์คลาส” อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะตอนนั้นฟอเรสต์ ของกุนซือปากตะไกร “ไบรอัน คลัฟ” ก็ไม่ธรรมดา
แต่ต้องโดนต้อนอย่างยับเยิน
อลัน กรีน เขียนใน BBC World Service ว่า ผู้สื่อข่าวมักจะถูกกล่าวหาว่า พวกคุณสนุกเกินไป ขี้เล่นเกินไปหรือเปล่า กับคำพูดถึงเกมฟุตบอลเกมหนึ่ง แต่ผมยืนยันว่า ผมจะใช้ทุกคำพูดนี้ ประกอบไปด้วย ยอดเยี่ยม, น่าอัศจรรย์ใจ, สุดยอด, มหัศจรรย์ คำทั้งหมดนี้ ลิเวอร์พูล สวมควรได้รับไปทั้งหมด
มัวริซ โรเวิร์ธ ประธานของฟอเรสต์ ผู้พ่ายแพ้ในเกมนี้บอกว่า ถ้าหาก ลิเวอร์พูล เล่นได้แบบนี้ ผมยืนยันว่า ไม่มีทีมไหนในทวีปของเราที่จะต้านทานพวกเขาอยู่ได้
สำคัญที่สุดก็คือนิยามจาก เซอร์ทอม ฟินี่ย์ ตำนานนักเตะทีมชาติอังกฤษ ที่มีรูปปั้นอยู่หน้าสนามของเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ซึ่งเข้ามาชมเกมนี้ กล่าวเอาไว้ว่า ทักษะ และความเร็วของเกมถือว่ายอดเยี่ยมมาก การเคลื่อนตัวของนักเตะลิเวอร์พูลมากกว่าคำว่า มหัศจรรย์จริงๆ
“ฟุตบอลแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่ มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เป็นสไตล์บราซิล ที่ดีกว่าบราซิล”
ถือว่า สมค่า สมราคา กับคำว่า “แซมบ้า ซีซั่น” โดยแท้...........
แล้วปีนี้ล่ะ.....ไม่สามารถเดินหน้าผ่านสถิติสำคัญได้สำเร็จแฟนบอลอยากจะเสียดายโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
แต่บทสุดท้าย เชื่อว่า “เดอะ ค็อป” อยากให้เป็นเหมือนกับปีนั้น
หายใจลึกๆ เอาไว้ เดี๋ยวรู้เลย!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี