จะเป็นแชมป์ทั้งทีมีอะไรให้น่าจดจำ อยู่เสมอ สำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี
“เจอร์เก้น คล็อปป์ ทีม” ผงาดแชมป์ฟุตบอลลีก คัพ หรือในชื่อปัจจุบันคือ “คาราบาวคัพ” มาครองได้สำเร็จ ด้วยการยิงจุดโทษแบบยิงแล้วยิงอีกยิงกระทั่งต้องเรียกโกล์มายิง
สุดท้ายเอาชนะ “สิงห์บลูส์” เชลซี ไปได้แบบบีบหัวใจสุดๆ 11-10
ฟุตบอลเคยมีการยิงเป็นสถิติแบบนี้มากมาย แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเกมนัดชิงชนะเลิศ และไม่เคยเกิดขึ้นกับการที่ว่า ยิงเข้ากันครบ 11 คนแบบนี้!!!
…ผมเดินทางมากับ “พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36” ผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดและ “คาราบาวแดง” แบรนด์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่กำลังเติบใหญ่ในตลาดโลกกว่า 40 ประเทศ ที่ผนึกกำลังกันทำให้เกิดทริปนี้ และผมมีโอกาสได้ทำข่าวการแข่งขันที่นิว เวมบลีย์ แบบใกล้ชิดติดทุกมุม
ใช้คำนี้ได้แบบเต็มปากเต็มคำครับ
เมื่อเจ้าของผลิตภัณฑ์จากไทย เป็นผู้ให้การสนับสนุนของการแข่งขัน บวกกับเจ้าของลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดในประเทศไทย ทำให้งานของเราบรรลุได้อย่างไม่ยาก และต้องวนเวียนอยู่ทั้ง 4 วัน กับชามอ่างยักษ์ที่อายุรวมกันทั้ง “โอลด์ เวมบลีย์” ในยุคหอคอยคู่ และในยุคปัจจุบัน 99 ปี
ได้มีโอกาส “เซอร์เวย์” ทุกจุดก่อนเกม ได้เห็นการทำงานก่อนเกมทั้งหมด ทั้งการจัดระเบียบของสนาม การวางจุดของผู้ชม การเตรียมป้องกันภัยกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กระทั่งการตัดหญ้า การเช็ดเก้าอี้
แน่นอนที่สุด “มุม” ของทีมที่เข้ามาชิงชนะเลิศ
ทั้งห้องแต่งตัวของทั้งสองทีมที่เนรมิตให้เสมือนกับทั้งสองทีม “ได้เล่นในบ้าน” เรียกได้ว่านำแบบจากต้นฉบับมาไว้ที่เวมบลีย์
ผมไม่ได้มาที่นี่นาน 8 ปี และเข้าชมด้านในทั้งการทำข่าวโอลิมปิก 2012 หรือจะเป็นการซื้อ “สเตเดี้ยม ทัวร์” ครั้งล่าสุดเมื่อ 10 ปีก่อน แน่นอนว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก นับจากวันที่มีข่าวว่าจะขายเวมบลีย์ ให้กับเศรษฐี “นายข่าน” แห่งแจ๊คสันวิลล์ จากัวร์ส
ดูเหมือนกับว่า เวมบลีย์ กลับมาเป็นสนามที่คุ้นเคย นั่นคือ ไม่ได้ขลังเหมือนกับยุคหอคอยคู่
แต่มีเสน่ห์ในสไตล์โมเดิร์น
ที่นี่คือสังเวียนแข้งที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป สร้างขึ้นมาใหม่ในปี 2003 และเปิดใช้ในปี 2007 ด้วยงบประมาณกว่า 789 ล้านปอนด์ ในสมัยนั้น
ความจุ 90,000 ที่นั่ง ดีไซน์โดย HOK Sport (โปปูลอส) กับฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส ความสูง 440 ฟุต โดยสถาปัตยกรรมเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความทันสมัยยุคโมเดิร์น มีเส้นรอบวงบนกลางอากาศ แทนที่หอคอยคู่ในยุคเวมบลีย์ เอ็มไพร์พูล
แถมที่นี่มีห้องน้ำถึง 2,618 ห้อง มากที่สุดในสนามกีฬาระดับโลก
...ว่ากันถึงการทำงาน เข้านอกออกในเวมบลีย์ ร่วมกับทีมงานจากคาราบาวแดง เพื่อลงรายละเอียดทุกพื้นที่ ซึ่งเรามีโอกาสได้ไปยืนแทบจะ “ชิดเส้น” ในช่วงก่อนเกมที่นักบอลวอร์มอัพ จากนั้นขึ้นไปชมเกมต่อกันข้างบนที่เดอะ เกรท ฮอลล์ และกลับมาประจำการอีกทีชิดเส้นเมื่อบอลจบการแข่งขัน
ได้สัมภาษณ์ถึงความมุ่งมั่นและอนาคตของการสร้างแบรนด์ของ คุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ และ “น้าแอ๊ด” ยืนยง โอภากุล เกี่ยวกับการสนับสนุน และจับมือกับ EFL ต่อไปจนถึงปี 2024 พร้อมกับประสบการณ์ที่ล้ำค่ากับการยืนชิดติดขอบสนามในการทำงาน
ในการทำงานที่ผ่านมา ผมผ่านโอลิมปิกเกมส์ 3 สมัย, เอเชี่ยนเกมส์ 5 สมัย รวมถึงซีเกมส์ และกีฬาอื่นๆ แต่ไม่เคยสัมผัสกับการทำ “คัพ ไฟนอลส์” ในวงการฟุตบอลอังกฤษ มาก่อน ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นยิ่งบวกยิ่งคูณไปอีกหลายสิบเท่า
ฟุตบอลก็เล่นกันไป ไม่เคยเห็นเหมือนกับว่าจะมีนัดชิงชนะเลิศรายการใดๆ ที่ “ยิงได้” แต่ “ล้ำหน้า” กันเยอะแยะมากมายขนาดนี้หากถึงเมืองไทย ต้องหาทางดูอีกรอบ เพราะบอกตรงๆ ว่า วันนี้ดูบอลด้วยฟิลลิ่งนำหน้า...มากไปหน่อย ฮา
กระทั่งมาดวลเป้ากัน ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่านักเตะ 11 คน จะได้มีโอกาสสังหารประตูครบกันทุกคน และไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็คือ ตำแหน่งผู้รักษาประตูต้องมายิงตัดสินการเป็นแชมป์
ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายประตูมือ 2 แต่ทุกคนรู้ว่า เขามีส่วนสำคัญในการแบกทีมเข้าชิงฯ ได้เป็นตัวจริง ซึ่ง คล็อปป์ เองก็ลั่นวาจาว่าจะให้ไอ้หนูคนนี้ลงสนาม
“ถ้ามีอะไรผมรับผิดชอบเอง”
ทุกคนแอบคิดว่า คล็อปป์ จะเปลี่ยนใจแล้วให้ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ มือ 1 ที่กำลังฟอร์มขึ้นสุด ๆ ลงก่อน แต่สุดท้าย คล็อปป์ ตั้งใจเอาไว้แล้ว และถือว่าเขา “จั่วถูก”
ขณะเดียวกัน โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือเชลซี ที่เหมือนกับศิษย์สำนักเดียวกัน (แต่คนละอาจารย์) ทั้งที่ ไมนซ์ 05 และ ดอร์ทมุนด์ ถ้าเรามองกันตามเนื้อผ้าถือว่า “จั่วผิด”
เขาเปลี่ยน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ที่ตอนแรกน่าจะได้เล่นตัวจริง เพราะทำหน้าที่ในถ้วยนี้ แต่สุดท้าย ทูเคิ่ลเลือก เอดูอาร์ เมนดี้ จอมหนึบระดับโลกอีกคนลงตัวจริง
อันที่จริง ถ้าหาก ทูเคิ่ล ใช้ เมนดี้ รับลูกโทษ ก็คงจะไม่แปลกอะไร แถมชั่วโมงนี้ เมนดี้ เพิ่งเซฟนำ เซเนกัล ครองแชมป์แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ มาหมาดๆ
มันอาจเป็นเรื่องของจิตวิทยา ก็เป็นได้ แต่ “เหตุที่ทำ”มันปรากฏว่า “ไม่สัมฤทธิผล”
เกปา เคยมีปัญหากับการ “ไม่ยอมออกจากสนาม” เมื่อเขาถูกเมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือสั่งเปลี่ยนในนัดชิงคาราบาว คัพ ปี 2019 ก่อนที่เชลซี แพ้การดวลจุดโทษให้กับ แมนฯ ซิตี้
ความทรงจำเรื่องนี้ยังอยู่ไปตลอดกาล แล้วในท้ายที่สุด เกปาก็มีส่วนกับการยิงจุดโทษอีกครั้ง
หนนี้เขารับลูกโทษไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว และเป็นเขาที่ยิงโด่งข้ามคานไปเข้ากลุ่มแฟนบอลเดอะ ค็อป พร้อมกับทำให้ ลิเวอร์พูล ครองถ้วยนี้รอบ 10 ปี และเป็นสมัยที่ 9 มากที่สุดในรายการนี้
เอาเข้าจริงฟุตบอลที่บอกว่ามันคือ บิวตี้ฟูล เกม แต่ฟุตบอลอย่างที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมครูแมนฯยูไนเต็ด บอกว่าไว้ว่า ฟุตบอลมันบ้า ฟุตบอลมัน Bloody Hell
ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามเท่าไหร่หรอก
เพราะตอนแรก ลิเวอร์พูล ก็มีปัญหา เพราะผมเห็น ธิอาโก้ อัลคันตาร่า เหมือนแปะแผ่นกันปวด ไม่รู้ว่า “ตราเสือ ไทเกอร์บาร์ม” หรือ “กอเอี๊ยะ” อันเบ้อเริ่มไว้ที่ไหล่ขวาในช่วงซ้อม แถมชื่อตอนแรกก็เป็นตัวจริง แต่สุดท้ายวอร์มเสร็จไม่ได้เล่น และเป็น นาบี เกอิต้า ที่วอร์มอยู่กับกลุ่มนักบอลสำรองได้สตาร์ทแทน
สุดท้ายบทจบ มันก็เป็นแบบนี้แหล่ะสำหรับโลกมนุษย์ซึ่งกรณีนี้คือโลกฟุตบอล
ฝ่ายชนะดีใจจนน้ำตาไหล ฝ่ายผู้พ่ายก็น้ำตานอง พักกายใจก่อนจะกลับมาสู้กันต่อ
ไม่มีใครชนะได้ทุกครั้ง และคงไม่มีใครแพ้ได้ทุกที
_____ บี แหลมสิงห์ _____