เกมนัดชิงฟุตบอลโลก 2022 แสดงให้หลายคนได้เข้าใจตรงกันแล้วว่า ทำไม "ฟุตบอล" จึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ของโลกใบนี้
อาร์เจนติน่า ชนะ ฝรั่งเศส ด้วยการดวลจุดโทษ 4-2 ในเกมที่ถือว่า ดุเด็ดเผ็ดมันส์ และว่ากันว่าอาจจะเป็นเกมนัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมา
อันนี้ตอบไม่ได้
การเสมอกันไฟแล่บ 3-3 ใน 120 นาทีคือสิ่งที่เหลือเชื่อในเกมนัดชิง ที่มักจะเต็มไปด้วยแทคติคต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ซัดกันได้เท่ากับเมื่อ 4 ปีก่อนที่บทจบด้วยชัยชนะของฝรั่งเศส เหนือ โครเอเชีย 4-2
แทคติคที่ปรับกันไปมา ชิงพื้นที่ตั้งแต่เกมยังไม่เริ่ม เมื่อ อาร์เจนติน่า กับออกสตาร์ทของ อังเคล ดิ มาเรีย เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อยกับอาร์เจนติน่า
จากนั้นเขาเป็นเรียกจุดโทษได้ ก่อนที่ ลีโอเนล เมสซี่ จะหักข้อยิงอย่างเยือกเย็น จากนั้น ดิ มาเรีย กลายเป็นภัยคุกคามทางด้านซ้ายของฝรั่งเศส ได้น่าสนใจ และยิงประตูได้สำเร็จ ทำให้ 36 นาทีแรก อาร์เจนฯ นำ 2-0 ฝรั่งเศส ยังไม่มีโอกาสยิงแม้แต่ครั้งเดียว
ดีดิเยร์ เดส์ชองป์ส เหมือนกับ "เลือดเข้าตา" เปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็ว ถอดเอา ชิรูด์ กับ เดมเบเล่ ที่มีส่วนสำคัญแบกทีมเข้ามาชิงออกไปตั้งแต่ยังไม่หมดครึ่งแรก ขยับ เอ็มบาปเป้ ยืนหน้าเป้า จากนั้นเลือกถอด กรีซมันน์ ที่เล่นดีทุกนัดออกไปอีกราย แล้วส่งสายสปีดลงไปล้วน ๆ
ดูเหมือนว่า เดส์ชองป์ส จะมาสไตล์มั่ว ๆ แต่เกมเปลี่ยนเฉย!!!!
ฝรั่งเศส จำเป็นต้องใช้แผนสอง ในการดวลกับ อาร์เจนฯ ที่ใครก็ไม่รู้ว่า จะมาแผนไหน
สปีดบอล-แผน-การเข้าหาบอล คือหัวใจสำคัญ อาร์เจนติน่า ได้ลูกโทษ ไม่พลาด ได้โต้กลับ เป็นประตู
บอลฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าสภาพร่างกายนักบอลครึ่งทีมที่เพิ่งหายป่วยมาก มีผลขนาดไหน แต่พวกเขาลำบากมาก รูปเกมไม่ดีด้วย ไม่ได้ยิงเลย
ทั้งสองทีมไม่ได้เพรสซิ่งอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาศัยคุมจังหวะ คุมโซน
อาร์เจนตินา ครองเกมนี้ได้เพราะพวกเขามีเทคนิค ที่ดีกว่า ในขณะที่ฝรั่งเศสไม่มี และปล่อยให้ อาร์เจน เล่นง่าย
การไล่ขึ้นมากดมาเพรสของ อาร์เจนฯ ช่วยรักษาแรงกดดันในแนวลึก และตอบโต้ทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย “เกินคาด”
ฝรั่งเศส ลงมาต้องแลก และกล้าได้กล้าเสียกว่าเดิม เพราะไม่มีอะไรจะต้องเสีย แล้วก็เกิดการผิดพลาดจากฝั่ง อาร์เจนฯ เอง ที่เลือกเปลี่ยน อาคุนญ่า แทน ดิ มาเรีย กลายเป็น "แบ๊ก"ลงมา "ซ้อนแบ๊ก"
อาคุณญ่า ตำแหน่งไปโต๊ดกับ ตาเกลียฟิโก้ แล้วทีมไปยืนหน้ากระดานเรียง 4 ทั้งกลางทั้งหลัง โดน ฝรั่งเศส ที่ตัดสินใจจั่วด้วยบอลเร็วและได้ประตูด้วยระยะเวลาสุดช็อกห่างกัน 2 เม็ดแค่ 97 วินาที
นาทีที่ 80 จุดโทษปลุกชีพขึ้นมาของ เอ็มบาปเป้ มาในจังหวะที่พวกฟ้าขาวโรย ๆ ลงไป จากนั้น เอ็มบาปเป้ ซัดประตูสุดสวยตีเสมอ นาทีที่ 81
ซึ่งตอนนั้น อาร์เจนฯ เล่นแบบมนุษย์แปลงตำแหน่งอีกไม่ได้ ต้องคิดถึงการกลับไปเล่นมิดฟิลด์ 4 คนอีกครั้ง เพราะพวกเขาสูญเสียการควบคุมเกมไปอย่างสิ้นเชิง
บอลถูกลากไปต่อเวลา และน่าจะจบอีกครั้ง เมื่อ เมสซี่ เข้าไปสังหารลูกซ้ำระยะจะ ๆ ตุงตาข่าย นาทีที่ 108 แต่กลับมาเสียจุดโทษอีกครั้ง และ เอ็มบาปเป้ ก็ไม่พลาดยิงแฮททริคในนาทีที่ 118
เจฟฟ์ เฮิร์สท์ เป็นคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศ ปี 1966 และคนที่สองก็เกิดขึ้นในวันนี้
ไม่รู้เลยว่านาทีนั้น ฟุตบอลโลกจะเป็นของใครกันแน่ มันพลิกไปมาอย่างน่าตกใจ การไล่ล่าของ ฝรั่งเศส ถึง 3 ครั้งทำให้พวกเขา "ดูเหมือนจะ" เป็นต่อในการดวลจุดโทษ
ซึ่งก่อนจะดวลเป้า เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นก็จังหวะได้ยิงแบบจ่อ ๆ ของ โคโล่ มูอานี่ ซึ่งลูกนี้ "ต้องเข้า" แต่ไปติดขาของ "แป๋งน้อย" เอมิลิอาโน่ มาร์ติเนซ แบบเหลือเชื่อ และจังหวะกระเด้งออกมา อาร์เจนฯ โต้กลับ ซึ่งก็น่าจะได้ประตูแต่ เลาโตโร่ มาร์ติเนซ โหม่งโล่ง ๆ ออกไปแบบไม่ได้ลุ้น
ลงท้ายจากผลเสมอ 3-3 อาร์เจนติน่า ยิงจุดโทษชนะได้สำเร็จ รอคอยมานานถึง 36 ปีกับตำแหน่งแชมป์โลก ทำให้ ฝรั่งเศส ต้องแพ้ในการยิงลูกโทษเป็นคำรบ 2 ในนัดชิงเหมือนกับปี 2006
เห็นภาพของ เอ็มบาปเป้ ครองดาวยิงได้ และกลายนักบอลที่ยิงได้ในนัดชิงบอลโลก2หน แต่บทจบไม่สวยงาม
วาว่า ปี 1958 (ชนะ) และ 1962 (ชนะ)
เปเล่ ปี 1958 (ชนะ) และ 1970 (ชนะ)
ไบรท์เนอร์ ปี 1974 (ชนะ) และ 1982 (แพ้)
ซีดาน ปี 1998 (ชนะ) และ 2006 (แพ้)
เอ็มบาปเป้ ปี 2018(ชนะ) และหนนี้แพ้อย่างเจ็บปวด
ฝ่ายจัดการแข่งขันก็ทำซะสุดคลาสสิก เมื่อให้ เนรี่ ปุมปิโด้ กับ โฆเซ่ บาปติสต้า แชมป์โลกปี 86 รุ่นเดียวกับมาราโดน่า เชิญถ้วย!!!!
อาร์เจนตินา เป็นทีมที่สองในประวัติศาสตร์ลูกหนังโลกที่ออกสตาร์ทแพ้นัดแรกแล้วได้แชมป์ในบั้นปลายต่อจากทีมชาติสเปนปี 2010
ภาพที่เชื่อว่า มันอยู่ในความฝันมาโดยตลอด และแฟนบอลหลายต่อท่าน
อยากเห็น
ปรากฎขึ้นเป็นจริงแล้ว ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ณ กาตาร์
ลีโอเนล เมสซี่ เป็นแชมป์โลก และอาร์เจนติน่า คือหมายเลข 1 ในโลกฟุตบอลเป็นสมัยที่ 3
อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกจากการดวลจุดโทษ เป็นเกมที่น่าทึ่ง ขอแสดงความยินดีกับ เมสซี่ และทีมของเขา
ขอแสดงความนับถือชาวฝรั่งเศสที่ทุ่มเททุกอย่าง โดยเฉพาะ เอ็มบาปเป้ ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
นิยายฟุตบอลที่สวยงาม และโหดร้ายในคราเดียว
นี่คือนัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกตลอดกาลหรือไม่ อันนี้ผมไม่รู้
แต่ที่เคยดูมาต้องยอมรับว่า มันที่สุดแห่งที่สุดจริงๆ!!!!
#บีแหลมสิงห์
Football bloody hell !!!!! Interesting, very interesting.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี