“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กางปีกทะยานขึ้นนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ด้วยการบุกไปชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 ที่เซลเฮิร์ส พาร์ค มหานครลอนดอน เป็นชัยชนะสำคัญที่ทำให้พวกเขามี 37 คะแนน จาก 16 เกมแรกของซีซั่น

เบียดนำ อาร์เซน่อล ไป 1 แต้ม

นับเป็นชัยชนะที่สร้างความสะใจ และแทบจะเป็นลมให้กับแฟนบอลอีกครั้ง เนื่องจากกว่าจะชนะได้ต้องรอถึงทดเวลาบาดเจ็บ และมีอะไรมากมายเกิดขึ้นในนัดนี้

ทั้งการจัดทัพ, การตัดสินแปลกๆ กระทั่งมาถึงไคลแมกซ์ของเกมที่เหมือนกับว่า “เดอะ ค็อป” ต้องดูบอลแล้วนั่งรถไฟเหาะตีลังกาทุกสัปดาห์ไป!!!!

1.การจัดทัพปรับศึกของเจอร์เก้น คล็อปป์

ลิเวอร์พููล มีโมเมนตั้มที่น่าสนใจมาก อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่คุณภาพ “เชิงลึก” บางอย่างที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา

ยังคงชนะเกมพวกเขาที่ต้องการ

นี่คือจ่าฝูง “ทีมที่ 6” ในซีซั่นนี้ หลังจากผ่าน 16 เกมของซีซั่น และยังอีก “ยาวไกล”นัก

เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะต่อสู้ทีมที่มีแท็กติกที่ดีและผู้สร้างความแตกต่างชั้นยอด “ทุกแดน” และแสดงให้เห็นทั้งในด้านแนวรับ ประตู, กองหลัง, กองกลาง และแนวรุก รวมถึงสำรอง

ที่สำคัญคือ พลังแฝงที่น่าตกใจของ “คล็อปป์ทีม” มันเป็นเรื่องใจ และการถ่ายทอด DNA ชัยชนะของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้นักบอลทุกคนในทีมมีแพชชั่น

จากการชนะนาทีสุดท้ายเหนือ คริสตัล พาเลซ ที่ตำบลครอยด้อน 2-1 บวกกับผลการแข่งขันที่เป็นใจ มาเป็นปัจจัยผลักดัน

การได้ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ กลับมาเฝ้าเสา ทำให้ ลิเวอร์พูล มีความมั่นใจอีกครั้ง โดยเฉพาะการโชว์ซูเปอร์เซฟในนาทีที่ 28 ก่อนจะทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะไอ้หนู จาเรล ควอนซาร์ ที่พลาดในจังหวะที่ทีมเกือบจะเสียจุดโทษ แม้เขาจะทำเสียจุดโทษ แต่นั่นเพราะการตัดสินที่ “บ้าจี้” มากกว่า

คำพูดที่น่าสนใจของ คล็อปป์ ก็คือ “ผมบอกเด็กๆ ว่านี่คือเกมแรกที่ผมเห็นใครสักคนเล่นได้แย่พอๆ กับที่เราทำได้ตลอด 76 นาทีเราแย่มาก แต่พวกเรายังคงชนะอยู่” คล็อปป์บอกกับ TNT Sports

“ในช่วงเวลานี้ของปี เราต้องผ่านมันไปให้ได้ มันโหดมันหินมันหนักมาก แต่เราต้องการผลการแข่งขัน ผมบอกกับเด็กๆ ว่า ไม่มีใครเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเกมฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เราเตะฟุุตบอลเพื่อชัยชนะ ต้องการเพียง 3 แต้มในแต่ละเกมเท่านั้น เมื่อเราได้ 3 คะแแนน และเรามีความสุขมากกว่าอะไรทั้งสิ้น”

การจัดตัวที่มีปัญหาเพิ่มจากตำแหน่งกองหลัง กับกองกลาง แต่ คล็อปป์ ควรได้รับเครดิตให้ ควอนซาร์ ได้ลงเล่นในตำแหน่ง “เซ็นเตอร์ด้านขวา” ที่เขามีโอกาสเล่นน้อยมากในชุดใหญ่ เพราะมักจะได้ยืน “เซ็นเตอร์ด้านซ้าย” เพื่อเซฟอิบราฮิมา โกนาเต้ ที่เชื่อว่ายังไม่สมบูรณ์นัก จนกระทั่งต้องลงมาในนาทีที่ 57 เป็นการเสี่ยงที่ “ไม่เสียหายมากนัก”

การกล้าถอด วาตารึ เอ็นโดะ ออกมาจากเกม ให้ เทรนท์อเล็กซานเดอร์-อารโนลด มาลุยตรงกลาง ส่ง โจ โกเมซ เป็นแบ๊กขวา เพราะเกมไม่เป็นตามที่คิด เนื่องจากอยู่ๆ พาเลซ ก็เล่นเกมเร็วได้แม่นยำ และเหลือเชื่อ ทั้งที่ไม่เคยเล่นแบบนี้เลย นั่นมาจาก รอย ฮอดจ์สัน เปลี่ยนวิธีการให้ “บอลเดินทางเร็ว”

คล็อปป์ ค่อย ๆ เปลี่ยนเกมเล่นแทบจะ 4-2-4 ในนาทีที่ 57 โคดี้ กั๊ปโป ลงแทน ไรอัน กราเฟนแบร์ช เนื่องจาก “บอลเลี้ยงทางซ้าย” ของ ลิเวอร์พูล โดนปิดตายสนิท ทั้ง กราเฟ่นแบร์ช และ หลุยส ดิอาซ โดยเจ้าบ้านใช้วิธีการเข้าตั๊นท์ตามพื้นที่ ไม่ได้ใช้การประกบตัวเพราะยังไงก็เอาไม่อยู่

สุดท้ายแล้ว “การทิ้งไพ่” คือสิ่งสำคัญ คล็อปป จั่วเอาเคอร์ติส โจนส์ ลูกเป็ดขี้เหร่ในสายตาแฟนบอลลงสนาม และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่แม้จะฟอร์มดีปีนี้ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายเควสชั่นมาร์ก

สุดท้าย โจนส์ แอสซิสต์และโดนเสียบแบบเสี่ยงตายให้ ซาลาห์ ยิงประตูตีเสมอ และ เอลเลียตต์ ลากโซโล่ไปยิงประตูชัยในช่วงเข้าสู่การทดเวลา

ลิเวอร์พูล เก็บเฉพาะแต้มที่ต้องหลุดมือไปแล้วได้ถึง 18 คะแนน

2.การตัดสินที่สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์

หลากจังหวะที่การตัดสินของ แอนดรูว์ เมดเลย์ แสดงออกถึงความไม่มั่นใจอะไรซะเลย

โดยเฉพาะการดูภาพจากวีเออาร์เมื่อเกมผ่านไป 30 นาที ดูเหมือนมัน “นานเกินไป” และ “ซ้ำไปซ้ำมา” จนเหมือนว่า “ไม่กล้าตัดสินใจ” จากจังหวะรุงรังที่ จาเรล ควอนซาร์ เปิดยัดมาแบบไม่ควรให้กับ วาตารึ เอ็นโดะ ก่อนจะโดน วิลล์ ฮิวจ์ส เข้าไปตั๊น และบอลมาถึง เอดูอาร์ จน เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค เข้าไปสกัดและเสียจุดโทษเมื่อ เมดเลย์ เป่าฟาวล์ พร้อมแจกเหลืองให้ ฟาน ไดจ์ค

อย่างไรก็ตาม ผู้ตัดสิน วีเออาร์ ระบุว่า เอ็นโดะ ฟาวล์ก่อน เมดเลย์ ไปดูภาพจากจอนานสองนาน แล้วจึงเปลี่ยนคำตัดสิน ไม่ให้เป็นจุดโทษ และยกเลิกใบเหลืองของ ฟาน ไดจ์ค

แต่ครึ่งหลัง เมดเลย์ ก็ถูกวีเออาร์เรียกเช็คว่า มีจังหวะปะทะอีกทีของ ควอนซาห์ ไปเตะใส่ ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า และทำให้ เมดเลย์ มาดูหลังจากเกมผ่านไปหลายนาที แล้วก็ให้จุดโทษและ มาเตต้า สังหารเข้าไปในนาทีที่ 57

อย่างไรก็ตาม เมดเลย์ มีส่วนสำคัญอีกที เมื่อแจกใบเหลืองกับ จอร์แดน อายิว ในจังหวะที่ “ไม่หนัก” แต่มันก็ “ตามกฎ” ในนาทีที่ 75 ทำให้ พาเลซ เหลือ 10 คน

ทั้งหมดทั้งมวลดูขัดๆ ตา ขัดๆ ใจหลายอย่าง ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรกับมาตรฐานฟุตบอลอังกฤษ

ลีกที่มีราคาแพงสุด แต่ผู้ตัดสินไม่ได้แพงอย่างที่ไรคิดเลย

3.เรื่องรอบตัวที่เกื้อหนุน

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฟอร์มร้อนมาก มากอย่างต่อเนื่อง หยุุดเสียงวิจารณ์นกกาด้วยการทำสถิติยิงประตูุเป็นลูกที่ 200 ให้กับสโมสรจากการลงสนาม 327 เกม

เป็นการยิงโอเพ่นเพลย์ 170 กับ ลูกโทษ 30

แบ่งเป็นพรีเมียร์ลีก 148 ประตู, บอลยุโรป 45 ประตู, เอฟเอ คัพ 5 ประตู, ลีกคัพ 1 ประตู และคอมมิวนิตี้ชิลด์ 1 ประตู

ซาลาห์ ทำได้อีก 81 แอสซิสต์ นับเฉพาะพรีเมียรลีก 65 แอสซิสต์

การยิงได้ถึงหลักนี้ ทำให้ ซาลาห์ ขึ้นชั้นเป็นดาราซัลโว อันดับที่ 5 ตลอดกาลของสโมสร โดยมี เอียน รัช (346), โรเจอร์ ฮันท์ (285), กอร์ดอน ฮอดจ์สัน (241) และ บิลลี่ลิดเดลล์ (228) ที่ยิงได้มากกว่า

ซาลาห์ ย้ายมาด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ตอนนี้บวกแอด-ออนส ทะลุ(ไปนานแล้ว) ที่ราคา 43.9 ล้านปอนด์

“พวกเราเหมือนกัน นั่นก็คือ คิดที่จะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดเสียงนกหวีด เราทำอย่างนั้นต่อไป” ซาลาห์ กล่าว “ทีมนี้น่าสนใจมาก เพราะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างทีมปัจจุบันกับทีมแชมป์ลีกปี 2019-20”

“ตอนนี้เรามีทีมใหม่เพราะมีนักเตะใหม่ 6-7 คน เราต้องให้คำแนะนำพวกเขา พวกเขาเรียนรู้มากมายและพวกเขาก็ดีมากจริงๆ เราสามารถทำอะไรที่พิเศษได้ในปีนี้”

การเล่นแบบมุ่งมั่นแต่ลดความมุทะลุลงไปของ ซาลาห์ ทำให้เขายังเป็น “เดอะ แบก” ของทีมได้อย่างสง่างามต่อไปบวกกับผลการแข่งขันที่มิดแลนด์ เป็นใจทำให้นิสัยเสริมส่ง

แอสตัน วิลล่า บดชนะ อาร์เซน่อล 1-0 ทำสถิติสโมสรด้วยการชนะ 15 เกมรวดในบ้านตัวเอง และทำให้ อาร์เซน่อล ยุติการเป็นจ่าฝูงหลังจากยืนมา 3 แมทช์เดย์

เท่ากับว่าในซีซั่นนี้ จ่าฝูงบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปลี่ยนมือเปลี่ยนหน้าไปแล้วถึง 6 ทีม

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, อาร์เซน่อล และล่าสุด ลิเวอร์พูล

นั่นล่ะครับเส้นทางยังอีกยาวไกล(มาก) แต่นี่เป็นพลังใจสำคัญ

อยู่บ้านเมียด่า ออกมาจ่าฝูุง!!!

สรุปผลทุกคู่ พรีเมียร์ลีก คริสตัล พาเลซ 1-2 ลิเวอร์พูล, วูล์ฟส์ 1-1 ฟอเรสต์, เชฟฯยูไนเต็ด 1-0 เบรนท์ฟอร์ด, แมนฯยูไนเต็ด 0-3 บอร์นมัธ, ไบรท์ตัน 1-1 เบิร์นลีย์ และแอสตัน วิลล่า 1-0 อาร์เซน่อล

บี แหลมสิงห์