เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เกมระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ผมอยู่ที่สนามแอนฟิลด์
เป็นเกมนัดรองสุดท้ายในบ้าน และนับเป็นการอำลาการทำงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือชาวเยอรมนี
ไม่น่าเชื่อว่า 1 ซีซั่นต่อมา เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ที่เตะกันท้ายซีซั่นเหมือนเดิม จะมีความหมายถึงขั้นที่ “หงส์แดง” กำลังจะเป็นแชมป์ลีก สมัยที่ 20
การเสมอกันระหว่าง อาร์เซนอล กับ คริสตัล พาเลซ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หมายความว่า “หงส์แดง” ต้องการอีกแต้มเดียวเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก โดยเหลือเกมอีก 5 นัด เริ่มนับจากเกมกับ สเปอร์ส
ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ครั้งล่าสุดในฤดูกาล 2019-20 ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในช่วงเวลาที่แฟนบอลไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสนามเนื่องจากการระบาดของโควิด-19
ซึ่ง “หงส์แดง” ได้ชูถ้วยรางวัลในแอนฟิลด์ โดยคว้าชัยชนะในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่ไม่มีแฟนฟุตบอลเข้ามาร่วมแสดงความยินดี เนื่องจากกฎในเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ซีซั่นนี้ทุกอย่างกำลังจะเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่คาดว่า “ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์” หรือว่า “พลิกล็อกถล่มทะลาย” ยังไงซะ แชมป์ลีกปีนี้ก็จะอยู่ที่แอนฟิลด์
ก่อนจะชมเกมนี้ มีหลากหลายประเด็นนำมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่าน “ยืนอยู่บนพื้น” ก่อนที่ “ร่างกาย” จะล่องลอย ”เกินหัวใจ” ในความเป็นจริง
๐ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา!!!
"ก่อนอื่นเลย นั่นคือความรับผิดชอบครั้งใหญ่ เพราะเรารู้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่สโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์ลีกเป็นช่วงโควิด ดังนั้นทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอวันอาทิตย์นี้ แต่เรารู้ว่ายังมีงานที่ต้องทำอีก และอย่างน้อยก็ต้องทำได้อีก 1 แต้ม" อาร์เน่อ ชล็อต บอสใหญ่ของ ลิเวอร์พูล กล่าวแถลงในเพรส คอนเฟอเรนซ์ ก่อนเกมกับ สเปอร์ส
“นั่นคือสิ่งที่เรารู้ และหวังว่าแฟนๆ ของเราก็คงรู้เช่นกัน และพวกเขาก็สนับสนุนเราอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำตลอดทั้งฤดูกาล และก็ตระหนักดีว่าเรายังต้องการแต้มอีกแต้มหนึ่ง”
“เราตระหนักดีถึงเรื่องนั้น เป็นเกมที่น่าติดตามแต่เป็นความรับผิดชอบที่เรามีในวันอาทิตย์นี้ด้วย"
สเปอร์ส เองก็ไม่เคยชนะที่แอนฟิลด์เลยตั้งแต่ปี 2011 และลงเล่นเกมนี้โดยแพ้ไป 18 เกมในลีกฤดูกาลนี้ และเวลานี้พวกเขาก็เน้นไปที่เกมรอบรองชนะเลิศยูโรปาลีกนัดแรกกับโบโด/กลิมท์ในวันพฤหัสบดีเป็นหลัก
ลิเวอร์พูล แพ้แค่ 2 เกมในลีกฤดูกาลนี้ และมีสถิติการเล่นในบ้านที่ดีที่สุดในลีกสูงสุด โดยเก็บได้ 41 คะแนนจาก 16 เกม
ชล็อต ซึ่งเคยคว้าแชมป์ลีกดัตช์ กับ เฟเยนอร์ด ร็อตเตอร์ดัม มาเก่า กำลังอยู่ในฤดูกาลแรกในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลหลังจากเข้ามาแทนที่คล็อปป์เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว และเวลานี้ทีมของเขามีคะแนนนำ อาร์เซนอล ที่อยู่อันดับสองบานตะโก้ถึง 12 คะแนน
มีข้อวิจารณ์แปลก ๆ ที่ว่า พรีเมียร์ลีกไม่ได้แข่งขันสูงเหมือนกับช่วงไม่กี่ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ ชล็อต เชื่อว่า ที่นี่คือ "ลีกที่ยาก" ที่จะชนะ
"ผมอยู่ที่นี่มาแค่ปีเดียว ดังนั้นผมจึงบอกคุณได้เพียงว่าผมทำอะไรไปบ้าง ในความคิดของผม มันเป็นลีกที่ยากจริงๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเคยเจอที่นี่ ไม่เคยมีเกมที่ง่ายเลย การจะชนะเกมฟุตบอลสักเกมเป็นเรื่องยากเสมอมา”
“เราไม่ใช่ทีมเดียวในลีกนี้ที่พบว่ายากที่จะชนะเกมด้วยสกอร์ 3 หรือ 4 ประตู เมื่องมองย้อนไปนั่นอาจจะง่ายกว่าเมื่อ 3, 4 หรือ 5 ปีก่อน”
“ทีมต่างๆ ไม่ดีอีกต่อไปแล้วนะหรือ??? ไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรืออาร์เซนอล หรือว่าทีมของเรายังคงดีมาก แต่ทีมอื่นๆ มีเงินทุนเพียงพอที่จะใช้จ่ายได้เท่าๆ กัน หรือในบางสถานการณ์อาจมากกว่าด้วยซ้ำ กลับเล่นไม่ดีไปเอง ที่สำคัญก็คือ อันดับ 3-4-5-6 ไม่เคยเกิดการชิงชัยแบบนี้มาก่อนเลย แสดงให้เห็นแล้วว่า ลีกนี้มีอะไร”
ส่วนประเด็นที่พูดถึงว่า เขากำลังจะเป็นชาวดัตช์คนแรกที่คว้าแชมป์ลีก ในฤดูกาลแรกของเขาที่อังกฤษ ชล็อต ตอบว่า มีคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
“คำถามเหล่านี้มีมากจริง ๆ แต่สิ่งเดียวที่ผมคิดคือ ผู้เล่นที่เรามีอยู่คือใครบ้าง!!!!!”
๐ บอล”แค่เสมอ”เพื่อให้ถึงฝัน
ฤดูกาล 1988-89 ปีที่ “หงส์แดง” จิตใจปลิดปลิว ด้วยเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่
พวกเขาเกือบจะเป็นดับเบิ้ลแชมป์อีกครั้งในรอบ 2 ปี แต่ก็ทำไม่ได้ในวันสุดท้าย
ลิเวอร์พูล เคยวัดดวงกับ อาร์เซนอล ปี 1989 และแพ้ด้วยกฎการยิงประตู เพราะหลายอย่างเท่ากัน ทั้งที่ไม่แพ้ใครตั้งแต่เกมวันปีใหม่ 18 นัดรวด และชนะได้ถึง 15 เกม แต่มาตกม้าตายทั้งที่ “สามารถแพ้ได้” แท้ๆ!!!!!!
อาร์เซนอล นำห่างมาโดยตลอด รวมถึงการสลับขึ้นไปนำของ ทีมรองบ่อนอย่างนอริช ซิตี้ โคเวนทรี ซิตี้ และมิลล์วอลล์
ในช่วงหนึ่ง อาร์เซนอลมีคะแนนนำลิเวอร์พูล 11 แต้ม แต่การเสมอกันหลายครั้งและความพ่ายแพ้ที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนเมษายน ระยะเวลาเดือนครึ่ง 8 เกม พวกเขาชนะแค่ 2 เกม และเสมอไปถึง 4 ทำให้ช่องว่างนั้นแคบลง
เมื่อถึงเวลาที่อาร์เซนอลเผชิญหน้ากับลิเวอร์พูลในวันสุดท้าย พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ นั่นคือการเอาชนะ ทีมหงส์แดงแชมป์เก่าด้วยการยิง 2 ลูกขึ้นไป
พวกเขาอุตส่าห์รันด้วยการชนะ 4 เกมติด และควรจะปิดจ็อบด้วยแชมป์ไปแล้ว แต่การเล่นในบ้าน 2 เกมติด ๆ ในนัดที่ 36 กับ 37 พวกเขาแพ้แค่แต้มเดียว เมื่อแพ้ ดาร์บี้ 1-2 และเสมอ วิมเบิลดัน 2-2 แต้มเป็นรอง ลิเวอร์พูล 3 คะแนนก่อนลงสนาม
แนวทางที่ระมัดระวังของเกรแฮมนั้นได้ผลดีในระบบ 5 กองหลัง 3 เซ็นเตอร์ เมื่ออาร์เซนอลขึ้นนำหลังจากพักครึ่ง และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไมเคิล โธมัส กองกลางก็ยิงประตูที่สองซึ่งถือเป็นประตูสำคัญช่วงนาทีท้าย ๆ
เกมนั้นได้รับการบันทึกภายหลังว่า มีการ “ทดเวลาบาดเจ็บ” อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากอาการเจ็บของ เควิน ริชาร์ดสัน เกมนั้นทดเวลา 2 นาที 39 วินาที
ประตูที่ ไมเคิล โธมัส ยิงได้นั้น เหลือเวลาอีก 1 นาที 18 วินาที กำลังจะหมดเวลา และมีการเติมเวลาหลังจากนั้นอีกประมาณ 38 วินาที ที่นักบอลอาร์เซนอล ฉลองประตู
อาร์เซนอล ครองแชมป์ด้วยการลงเตะ 38 นัด ชนะ 22 เสมอ 10 แพ้ 6 ประตูได้เสียบวก 37 ประตู
ลิเวอร์พูล ได้รองแชมป์ด้วยการลงเตะ 38 นัด ชนะ 22 เสมอ 10 แพ้ 6 ประตูได้เสียบวก 37 ประตู......เหมือนกัน!!!!!!
แต่ อาร์เซนอล ยิงได้ 73 เสีย 36 ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยิงได้ 65 เสีย 28
เมื่อแต้มเท่ากัน และประตูได้เสียก็เท่ากันอีก ทำให้ต้องมานับที่ “ประตูที่ยิงได้” และอาร์เซนอล เป็นแชมป์
ดังนั้นปี 1989 ไม่ใช่ขอแค่ “คะแนนเดียว” จะเป็นแชมป์ แต่ขอแค่ “แพ้ประตูเดียว” ก็ยังถ้วยหล่นมาแล้ว
อดีต และตำนานให้สอนมาแบบนี้
ทุกอย่างมาพร้อมกับคำว่า สมควรแก่เวลา, การสร้างโอกาส, ความท้าทาย, ความเชื่อ, ตรรกะ และความคาดหวังทั้งชีวิต
๐ 3สิ่งที่ต้องเจอในเกมที่แอนฟิลด์
เกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 34 ประจำซีซั่นนี้ เวลา 22.30 น.เป็นเกมสำคัญสุด ๆ แบ่งออกได้เป็น 3 สิ่งที่เราจะได้เห็นกันอย่างชัดเจน
1.หนึ่งคะแนนที่ยังไงก็กดดัน
มีคำถามประหลาดที่สุดในชีวิตที่ได้เห็นได้ยินนั่นก็คือ นักบอลนำขนาดนี้ “ยังกดดันอีกเหรอ”
นักบอลก็คนครับ และสำคัญก็คือ คนเราเวลาจะเข้าเส้นชัยนี่มันต้องขนาดไหน เหล็กแค่ไหนมันก็สะดุ้ง
แรงกดดัน แรงคาดหวังจากแฟนบอลทั้งโลก มันส่งผลต่อสองแข้งของนักบอลทุกคน มันส่งผลลงบนบ่าของทุกคน และแน่นอนว่า อาร์เน่อ ชล็อต กับลูกทีมของเขา ต้องกัดฟันผ่านมันไปให้ได้ สังเกตุช่วงที่ผ่านมากับสกอร์ที่เกิดขึ้นมันบดบี้สูสีนัก
ชนะ เอฟเวอร์ตัน 1-0, ชนะ เวสต์ แฮม 2-1 และบด เลสเตอร์ 1-0
ค่าเฉลี่ยในการวิ่งอาจจะน้อยลง แต่สุขุมมากขึ้น เพราะเล่นเพื่อชัยชนะไม่ได้เล่นเพื่อความเร้าใจ แม้ตัวเลขมันจะไม่ได้แตกต่างจากช่วงแรก
แต่วิธีการต่างกันชัดเจน เนื่องจากแต่ละนัดแต่ละเกม มันเบาที่ไหนกับลีกมหาโหดลีกนี้
2.ตัดสินอนาคตอีกครั้งกับ ‘สเปอร์ส’เหมือนปี 2019
การต้องซัดกับ “ไก่เดือยทอง” เพื่อตัดสินอะไรแชมป์ เคยเกิดขึ้นมา 2 ครั้งเท่านั้นในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
นั่นคือเกมลีกคัพ ปี 1982 ที่เวมบลีย์ ลอนดอน กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มาดริด ปี 2019 ซึ่ง ลิเวอร์พูล กำชัยได้ทั้งสองครา
3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อปี 82 ทำให้ ลิเวอร์พูล ครองแชมป์ลีกคัพ 2 ปีติดต่อกัน และปี 2019 ชนะ 2-0 นำถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6 มาประดับแอนฟิลด์ พร้อมกับเป็นถ้วยแรกของทีมในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อีกด้วย
น่าสนใจก็คือ หากชนะได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่า อาร์เน่อ ชล็อต จะได้แชมป์แรกกับ ลิเวอร์พูล ด้วยการใช้ สเปอร์ส เป็นทางผ่านเช่นเดียวกัน!!!
ในบอลลีกนั้น ลิเวอร์พูล เคยได้แชมป์ในการเตะกับ สเปอร์ส เมื่อปี 1988 ด้วยชัยชนะ 1-0 มาแล้ว
3.ครองแชมป์ในแอนฟิลด์รอบ35ปี
ข้อสุดท้ายก็น่าสนใจยิ่ง เนื่องจาก ลิเวอร์พูล ไม่เคยคว้าชัยแล้วได้แชมป์ต่อหน้าแฟนบอลตัวเองที่แอนฟิลด์ มาเป็นเวลานานถึง 35 ปี
ครั้งนั้นเกิดขึ้น ในแมทช์ที่ 36 ของฤดูกาล เมื่อวันที่ 28 เมษายน 1990 ลิเวอร์พูล บดเอาชนะ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ลงได้ 2-1 ขณะเดียวกันคู่แข่งที่บดบี้กันมาคือ แอสตัน วิลล่า เปิดบ้านที่มิดแลนด์ เสมอกับ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ แต่เป็นแมทช์ที่ 37 แบบช็อกแฟน 3-3
เกมนั้นเตะในเวลาเดียวกัน ก่อนเกมนั้น ลิเวอร์พูล 35 นัด มี 70 คะแนน และวิลล่า 36 นัด มี 68 คะแนน
ปรากฎว่า สองทีมที่ลุ้นแชมป์ตามหลังก่อนทั้งคู่้ โดย รอย วิเกอร์ลี่ ดาวเตะสหรัฐรุ่นแรกที่ดังในอังกฤษ กดให้ ควีนส์พาร์ค ออกนำที่แอนฟิลด์ ตั้งแต่นาทีที่ 14 แต่ วิลล่า ก็โดน นอริช บุกมานำเช่นกัน จาก รูเอล ฟ็อกซ์ นาทีที่ 30
กระทั่ง เอียน รัช ซัดให้สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นด้วยสกอร์ 1-1 ก่อนหมดครึ่งแรก 5นาที และ สตีฟ นิโคล โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ จอห์น บาร์นส์ สังหารนิ่ม ๆ ให้ “หงส์แดง”พลิกนำ 2-1 ในนาทีที่ 63 ก่อนจะประคองสถานการณ์เอาไว้
อีกฟากฝั่ง วิลล่า ฮึดยิงได้ถึง 3 เม็ดติด ในเวลาเพียง 5 นาที จาก 3 ดาวดังทั้ง พอล แม็คกรัธ นาทีที่ 63, โทนี่ คาสคาริโน่ นาทีที่ 65 และเดวิด แพล็ท นาทีที่ 68
อย่างไรก็ตาม วิลล่า ก็หวังเหวิดเมื่อ ดีเร็ค เมาท์ฟิลด์ ทำเข้าประตูตัวเอง นาทีที่ 79 และกองหน้านายแบบอย่าง โรเบิร์ต โรซาริโอ มาพังประตูตีเสมอให้อาคันตุกะจากถิ่นเกษตรกรรมแบ่งแต้มได้นาทีที่ 83 จบเกม วิลล่า เสมอกับ นอริช 3-3 ส่วน ลิเวอร์พูล ชนะได้ 2-1
เสียงนกหวีดยาวดังขึ้น เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือลิเวอร์พูล ผวาเข้ากอด รอนนี่ มอแรน มือขวาของเขาเมื่อทีมครองแชมป์ได้ในวันนั้น โดยมี 73 คะแนน จาก 36 นัด ขณะที่ วิลล่า 37 นัด มี 69 คะแนนไล่ไม่ทัน
“หงส์แดง” กางปีกเป็นแชมป์สมัยที่ 18 ในถิ่นตัวเอง และไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเดอะ ค็อป อีกเลย…….
เมื่อปี 2019 ลิเวอร์พูล มีโอกาสลุ้นแชมป์จนถึงนัดสุดท้าย ที่สนามแอนฟิลด์ และทำได้ตามเป้าคือชนะ วูล์ฟส์ 2-0 เก็บได้ถึง 97 คะแนน แต่ไม่ได้แชมป์เพราะอีกสนามนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปยำ ไบรท์ตัน 4-1 เข้าป้ายด้วยการมี 98 แต้ม
เฉกเช่นเดียวกับ ปี 2022 ลิเวอร์พูล ได้เล่นในแอนฟิลด์นัดสุดท้าย แต่จบลงแบบเดียวกับปี 19 นั่นคือ
พวกเขาตามหลัง วูล์ฟส์ ก่อน 0-1 ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ตามหลัง แอสตัน วิลล่า 0-2
ลิเวอร์พูล กลับมากดสามเม็ดติด เอาชนะไปได้ 3-1 แต่ก็แพ้แค่คะแนนเดียวอีกครั้ง เพราะ 15 นาทีสุดท้าย แมนฯซิตี้ กลับมารัว 3 ประตูแซง วิลล่า 3-2 สำคัญคือแซง ลิเวอร์พูล เข้าป้ายแต้มเดียวอีกครั้งคือ 93 กับ 92 คะแนน
ครั้งนี้อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น “แชมเปี้ยนชิพ พอยต์ส”ครั้งที่ 1 จาก 5 ครั้งกำลังจะเกิดขึ้น โดยทั้งหมดจะต้องเจอกับทีมจากแดนใต้ทั้งหมดด้วย!!!!!
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, เชลซี,อาร์เซนอล, ไบรท์ตัน และคริสตัล พาเลซ
แฟนบอลเดอะ ค็อป บอกว่า พอแล้วไม่ต้องดราม่า คว้าแชมป์ตั้งแต่โอกาสแรกไปเลย
ยืดเยื้อมันทรมาณ และรุงรังครับ!!!!!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี