(หมายเหตุ : บทความชุดนี้ถอดความจากคำบรรยายของ นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ในงานเสวนา “จากก้าวคนละก้าว สู่ข้อเสนอการปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย” 4 ก.พ. 2561 ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย)
(ต่อจากตอนที่แล้ว) "30 บาทไม่ใช่ประชานิยม" เพราะเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเกิด เราไม่รู้ว่าใครจะเป็นอะไรเมื่อไหร่ สมัยที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เข้ามาทำเมื่อปี 2518 "ท่านเพิ่มเงินให้ก้อนใหญ่เลยทีเดียว แต่ตอนนั้นไม่มีการปฏิรูประบบ ฉะนั้นระบบที่มีอยู่ในประเทศไทยจึงไม่เท่าเทียมกัน" โรงพยาบาลจังหวัดมีทุกจังหวัด แต่โรงพยาบาลอำเภอ อำเภอรอบนอกมี 600 อำเภอ มีโรงพยาบาลเพียง 200 อำเภอ อีก 400 อำเภอไม่มี
ส่วนสถานีอนามัย (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล-รพ.สต.) 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศมี แต่อีก 40 เปอร์เซ็นต์ไม่มี งบประมาณจ่ายไปแบบ “โรงพยาบาลใหญ่ได้เยอะ-โรงพยาบาลเล็กได้น้อย” จึงเป็นระบบที่เพิ่มเงินแต่เพิ่มความไม่เท่าเทียม ต่อมาสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (2523-2531) มีการสร้างโรงพยาบาลครบทุกอำเภอ และสร้างสถานีอนามัยครบทุกตำบล
“ตอนนั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เราขอให้ชะลอการสร้างโรงพยาบาลในกรุงเทพและในจังหวัดใหญ่ๆ มีโรงพยาบาลจะสร้างตึกผู้ป่วยนอก (OPD) 700 ล้านบาท พวกผมก็ไปค้าน เพราะประชากรเท่าเดิมแต่ไปรับบริการสะดวกขึ้น เงิน 700 ล้านนี้เอาไปสร้างโรงพยาบาลอำเภอ 10 เตียง ได้ 70 แห่ง 70 อำเภอ ตอนนั้นพวกหมอในโรงพยาบาลนั้นโกรธพวกผมมาก แต่ตอนนี้ทุกคนบอกว่าพวกผมทำถูกแล้ว หลายคนก็ยังคบหากัน”
ถึงโรงพยาบาลจะกระจายตัวไปทั่ว “แต่ก็ยังมีความลักลั่น” เช่น จ.ราชบุรี มีโรงพยาบาลจังหวัดถึง 4 แห่ง แต่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.น่าน ที่เป็นจังหวัดไกลๆ มี 1 แห่ง งบประมาณก็ยังได้น้อย พอคุณหมอสงวน (นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์) ก็ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง สมัยท่านคึกฤทธิ์ทำ ท่านทำเป็น “โครงการ” คือโครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลผู้มีรายได้น้อย
"บิดาแห่ง 30 บาท" นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ (18 มี.ค. 2495-18 ม.ค.2551) ผู้ผลักดันนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ที่มา : https://www.doctor.or.th/clinic/detail/6968
แต่คุณหมอสงวนทำเชิงระบบ "ทำเป็น พ.ร.บ. (พระราชบัญญัติ)" แล้วเวลามีการจัดสรรงบประมาณ คณะกรรมการที่ดูแลตาม พ.ร.บ. มี 30 คน "ใน 30 คนนี้ประกอบด้วยภาครัฐแค่ 9 คน" เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ผู้แทนสภาวิชาชีพ 5 คน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท. 4 คน) และ "เป็นตัวแทนภาคประชาสังคม 5 คน" นี่คือองค์กรที่ "ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม" อย่างแท้จริง
ทำให้การจัดสรรงบประมาณ การดูแลประชาชน การบริหารจัดการมีเสียงของประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดของการปฏิรูประบบบัตรทอง คือ "รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540" นั้นพูดถึงเรื่อง "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"เป็นครั้งแรก พ.ร.บ. จึงกำหนดไว้เลยว่า “การไปรับบริการเป็นสิทธิของประชาชน ส่วนผู้ให้บริการนั้นเป็นหน้าที่” ไม่ใช่เรื่องการไปขอความเมตตา สังคมจะเจริญไปได้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน
นพ.วิชัย โชควิวัฒน
สุดท้ายเราพูดกันถึง 3 กองทุนในประเทศไทย (สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และบัตรทอง) แต่ยังมีกองทุนอื่นอีก เช่น มหาวิทยาลัย รัฐสภา “ใช้เงินแพงมากถึง 3 หมื่นบาทต่อหัว” แพงกว่าข้าราชการด้วย แล้วเวลาป่วยก็ไปรักษาตามที่ตัวเองต้องการ แต่ก็ไป "เสียค่าโง่” ให้เขา ไปตรวจร่างกาย 3 พันบาทแต่ไม่ได้อะไร ไม่มีใครคิดจะปรับปรุงระบบตรงนี้ “แล้วถ้าป่วยหนักเป็นโรคร้ายแรงก็ไม่รักษา” นั่นเป็นระบบที่จ่ายให้ป่วยเล็กป่วยน้อยแต่จ่ายแพง นี่ก็ไม่เคยคิดจะปฏิรูปกัน
บัตรทอง 30 บาท ทำให้คนไทยอายุยืนขึ้น : จากงานวิจัยเรื่อง “Welfare Analysis of the Universal Health Care Program in Thailand” ผลงานของ ณัฏฐ์ หงษ์ดิลกกุล นักศึกษาปริญญาเอก คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ ประเทศแคนาดา
ที่มา : https://www.hfocus.org/content/2017/06/14100
ญี่ปุ่นนั้นเป็นระบบที่ให้บริการเหมือนกันหมด แต่ที่มากองทุนนั้นเขามีตั้ง 3,500 กองทุน แต่ละคนจ่ายตามเงื่อนไขของแต่ละกองทุน การจ่ายเข้าไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องพวกนี้ "ถ้าจะปฏิรูปต้องศึกษาจริงๆ จังๆ" ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเป็นการปฏิรูปแบบ
ตาบอดคล้ำช้าง!!!
ข่าวก่อนหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี