เมื่อวันที่ 2 กันยายน นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรืออัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคม 2556 พบว่า เท่ากับ105.41 เทียบกับเดือนกรกฎาคม2556 ลดลง0.01% แต่เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม2555 เพิ่มขึ้น1.59% สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากที่เพิ่มขึ้น2.00% ในเดือนกรกฏาคม โดยภาพรวมมีราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น 159รายการ สินค้าราคาลดลง 91รายการและอีก 200รายการ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 8เดือนแรกปี2556 (มกราคม-สิงหาคม) สูงขึ้น2.47% ถือว่าต่ำกว่ากระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้
นางวัชรี กล่าวต่อว่า เท่าที่กระทรวงพาณิชย์มีการติดตามการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม กิโลกรัมละ 50 สตางค์ ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป รวมทั้งค่าไฟฟ้าขึ้น 7สตางค์ต่อหน่วย และค่าทางด่วนที่มีการปรับขึ้น 5 บาทตั้งแต่วันที่ 1กันยายนที่ผ่านมานั้น จะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเพียง0.1%เท่านั้น โดยยังยืนยันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะยังอยู่ในกรอบที่คาดไว้2.8-3.4% จึงมองว่าการที่ผู้ประกอบการจะฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าต่างๆ โดยอ้างว่ามีการปรับขึ้นราคา 3สิ่งข้างต้นเป็นเรื่องไม่ควรกระทำและภาวะเงินเฟ้อจะไม่กลายเป็นเงินฝืดแน่นอน
ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ปรับขึ้นราคาขายปลีกแอลพีจีภาคครัวเรือน จาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปสู่ระดับที่สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82บาทต่อกิโลกรัม โดยจะทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนั้น ไม่กระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการช่วยซื้อแอลพีจีราคาเดิมต่อไปสำหรับครัวเรือนทั่วไปค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นถือเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยภาคครัวเรือน ส่วนใหญ่จะใช้ก๊าซหุงต้มแบบถังขนาด 15กิโลกรัม เฉลี่ยเดือนละ 1ถัง ดังนั้นการทยอยปรับขึ้นกิโลกรัมละ 0.50บาทต่อเดือน ทำให้ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละ 7.50บาท ซึ่งประชาชนทั่วไปน่าจะปรับตัวกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ได้และเมื่อราคาแอลพีจีปรับขึ้นไปจนสะท้อนต้นทุนปี2557 ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณ 90บาทต่อเดือน คิดเป็นเพียงร้อยละ0.4 ของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อเดือนในประเทศ
ขณะที่ นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานจะมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่ยังไม่เพียงพอต่อสภาวการณ์ปัจจุบันที่อัตราค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ค่าทางด่วน ค่าไฟฟ้าและแก๊สหุงต้ม เป็นต้น ดังนั้นจึงมองว่าคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ควรทบทวนมติเดิมที่กำหนดเงื่อนไขว่า หากปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300บาทเท่ากันทั่วประเทศแล้ว จะไม่ปรับค่าจ้างอีก 3ปี หรือจนถึงปี2558 ขณะเดียวกันยังพบว่า มติดังกล่าวยังไม่บังคับใช้ทุกบริษัท เพราะบางบริษัทยังไม่จ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 300บาทให้ลูกจ้าง ดังนั้น คสรท.จึงทำการรวบรวมข้อเท็จจริง พร้อมลงพื้นที่ออกสำรวจผลกระทบค่าครองชีพเพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่า ค้าจ้างกับค่าครองชีพมีความสมดุลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะเร่งหาข้อมูลให้เร็วที่สุด เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลปลายเดือนกันยายนนี้และจะแถลงข่าวให้รับทราบทั่วกัน
อย่างไรก็ตาม กรณีรัฐบาลปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน ตั้งแต่วันที่1กันยายน2556-30 พฤศจิกายน2557เดือนละ 0.50บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารใน จ.มหาสารคาม ได้รับผลกระทบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับขึ้นราคาไปแล้ว ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัวและผักสด
โดย นางสมจิตร ตั้งภานุกุล เจ้าของร้านครัวข้าวแกง ในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า ราคาแก๊สที่เพิ่มสูงขึ้นกระทบกับต้นทุนการผลิตแน่นอน ขายข้าวแกงมาสิบกว่าปี ไม่เคยขึ้นราคา ต้องมาเจอแก๊สขึ้นราคาอีก วันนี้ก็ซื้อแก๊สอีก 2 ถังขนาด 16 กิโลกรัม จ่ายเพิ่มอีก 30 บาท ไม่รวมค่าไฟฟ้าที่มีการปรับขึ้นค่าเอฟทีอีก คงถึงเวลาต้องปรับขึ้นราคาข้าวแกงแล้ว คาดว่าต้องปรับขึ้นช่วงปีใหม่แน่นอน
ส่วนที่สนามกีฬากลาง จ.พิษณุโลก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนจำนวนมากต่อแถวรอซื้อสินค้า"ธงฟ้า ราคาประหยัด"ในงานมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 30 สิงหาคม-3 กันยายน ภายในงานมีการจำหน่ายไข่ไก่เบอร์2 ราคาถูกกว่าท้องตลาด จากราคาแผงละ 120บาท ลดเหลือแผงละ 70 บาท
นางทองดี รอดอ่อง อายุ 72 ปี เปิดเผยว่า มารอซื้อไข่ไก่ที่งานนี้เพราะขายถูกกว่าท้องตลาด วันนี้ซึ่งเป็นวันเกือบสุดท้ายของงานจึงมารอซื้อตั้งแต่ 09.00น.ได้เป็นคิวที่1 ต้องยืนรอถึงเวลา 11.00น.จึงซื้อไข่ไก่ได้ 1แผงตามสิทธิ ที่ทนรอซื้อไข่ไก่เพราะในตลาดไข่ไก่ราคาแพงมาก ขณะที่สินค้าทุกชนิดราคาก็แพงขึ้นหมด
ผู้สื่อข่าวรายงาน มีร้านค้าที่มาจำหน่ายสินค้าในงานมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ ที่สนามกีฬากลางจังหวัดพิษณุโลก ถูกแก๊งมิจฉาชีพนำธนบัตรใบละ20และ50บาท มาซื้อสินค้า จึงไปตรวจสอบพบพ่อค้ารายหนึ่ง กำลังเดินบอกพ่อค้าแม่ค้าในงานให้คอยสังเกตธนบัตรใบละ 50บาท เนื่องจากคาดว่ามิจฉาชีพจะฉวยโอกาสช่วงคนพลุกพล่านใช้ธนบัตรปลอมมาจ่ายค่าสินค้าอยู่ในขณะนี้
นายสำเริง ภักตร์ขำ พนักงานบริษัทอุตสาหกรรมนมไทย จำกัด กล่าวว่า มาเปิดบูธขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทในราคาถูก ปรากฏว่าหลังจำหน่ายสินค้าพบว่า มีธนบัตรปลอมนำมาซื้อสินค้า โดยธนบัตรปลอมมีลักษณะคล้ายกับใช้กระดาษธรรมดาปรินท์สีเท่านั้น หากเทียบกับธนบัตรจริงจะสังเกตถึงความแตกต่างได้ชัดเจน คาดว่ามิจฉาชีพจะฉวยโอกาสช่วงคนพลุกพล่าน จึงเตือนให้พ่อค้าแม่ค้าระมัดระวังมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี