อสส.สั่งเด้งรองอธิบดีฯ
โพสต์เฟชบุ๊ก
พาดพิง’บิ๊กตู่-น้องชาย’
สตง.การันตี’ทริปบิ๊กป้อม’
เหมาะสม-ไม่พบการทุจริต
สาวช่อง5โต้ลั่นไม่ได้ไปด้วย
เมื่อเวลา 18.00น.วันที่ 5ตุลาคม นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) เปิดเผยถึงกรณีที่ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของประเทศและนายปรเมศวร์ ก็เป็นข้าราชการระดับสูงในสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งประเด็นที่เขียนทางผู้บริหารของสำนักงานอัยการสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้นระหว่างตรวจสอบเพื่อความเหมาะสม จึงเห็นควรย้าย นายปรเมศวร์จากตำแหน่งเดิมก่อน เพื่อรอผลการตรวจสอบและเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ย้ายไปช่วยราชการมีผล10ตค.
ผู้สื่อข่าวรายงานล่าสุด ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2543 มีคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดเลขที่ 1905/2559 ลงวันที่ 5 ต.ค.2559 เรื่องให้พนักงานอัยการช่วยราชการและปฏิบัติราชการ โดยให้ นายปรเมศวร์ ไปรักษาการตำแหน่งรองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุดและให้นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน รองอธิบดีอัยการสำนักงานชี้ขาดอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่งรองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10ต.ค.เป็นต้นไป
ชี้ขัดระเบียบว่าด้วยการให้ข่าว
ด้านร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีหนังสือเวียนลงวันที่ 4 ตุลาคม 59 กำชับให้บุคลากรของอัยการสูงสุด ทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการให้ข่าวและบริการข่าวสาร พ.ศ.2554 อย่างเคร่งครัด โดยการเขียนเรื่องหรือบทความเผยแพร่ทางสื่อมวลชนให้กระทำได้ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมาย หรือระเบียบ และจะต้องไม่ให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุด บุคคลใดหรือหน่วยงานใด และไม่มีลักษณะเป็นการให้ข่าว และบริการข่าวสารของสำนักงานอัยการสูงสุดโดยผู้เขียนไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ
เผยเรียกร้องให้สอบ”บิ๊กติ๊ก”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา นายปรเมศวร์ได้เขียนข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัววิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ ที่แสดงออกความไม่พอใจที่นายเรืองไกรลีกิจวัฒนะ อดีต สว.กทม.และนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
ร้องให้สอบสวนที่พล.อ.ปรีชา น้องชายและคณาญาติใช้ประโยชน์ราชการหลายเรื่อง
โดยนายปรเมศวร์ เคยชี้แจงสื่อมวลชนว่า สิ่งที่เขียนในเฟซบุ๊คเป็นการแสดงความเห็นตามหลักกฎหมายถึงเรื่องที่หากมีการกล่าวหาใดๆว่าน่าจะมีการกระทำผิดเกิดขึ้นก็ต้องให้มีการตรวจสอบในเบื้องต้นก่อน แม้บุคคลนั้นไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่มีการได้ร้องเรียนเพื่อให้เจ้าพนักงานที่มีอำนาจสอบสวนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่ ก็ทำได้ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งการกระทำของนายเรืองไกร และนายศรีสุวรรณ ถือเป็นหน้าที่หนึ่งของพลเมืองดี
‘ศรีสุวรรณ’ยื่นสอบทริปบิ๊กป้อม
ส่วนความคืบหน้ากรณีการเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค.ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงงบประมาณที่ใช้กับการเดินทางครั้งนี้ไปถึง 20.9 ล้านบาทนั้น
วันเดียวกันที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เครือข่ายสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญและเครือข่ายภาคประชาชนอื่น เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง. เพื่อให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณในการเดินทางร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-สหรัฐฯ ที่รัฐฮาวาย ที่ใช้งบประมาณไปถึง 20.9 ล้านบาท ซึ่งถูกวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม และเป็นการใช้งบประมาณเกินความจำเป็นและขัดต่อกฎระเบียบหรือไม่
ผู้ว่าฯย้ำชัดๆดูชื่อแล้วไม่มีทุจริต
ด้านนายพิศิษฐ์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ได้ประสานงานไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.) ซึ่งเป็นต้นเรื่อง เพื่อขอรายละเอียดเรื่องดังกล่าวแล้วโดยระบุว่า ได้รับเอกสารเป็นหนังสือเชิญเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงที่มีหลายวงพูดคุย ไม่สามารถไปคนเดียวได้ และจากการดูรายชื่อผู้ร่วมคณะทั้งหมด เป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับงานด้านความมั่นคง ไม่มีคนนอก จึงยังไม่พบอะไรที่เป็นประเด็นว่าจะมีความไม่สุจริต
เตรียมสรุปผลสอบ7ตุลาฯนี้
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ส่วนค่าใช้จ่ายการเดินทางนั้นได้ประสานไปยังการบินไทย เพื่อขอรายละเอียดทั้งหมดแล้วเช่นกัน ส่วนรายชื่อผู้ร่วมเดินทางนั้น ทาง สตง.ยืนยันว่า มีเพียง 38 รายชื่อ และไม่ปรากฏรายชื่อผู้ประกาศข่าวที่กำลังมีกระแสข่าวอยู่ขณะนี้ หลังจากนี้ทาง สตง.จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะมาชี้แจงความคืบหน้าอีกครั้งภายในวันที่ 7 ต.ค.นี้
ทริปฮาวายบิ๊กป้อม”เหมาะสม”
ก่อนหน้านี้นายพิศิษฐ์ ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงข้อเท็จจริงเบื้องตันว่า ตามหนังสือเชิญชวนของฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่ให้ไทยไปประชุม 29 ก.ย.-1 ต.ค. ดังนั้นจึงมีการขออนุมัติเดินทางวันที่ 20 ก.ย.-2 ต.ค. เพราะไม่ได้มีการเผื่อเวลาอะไรไว้มากมาย
นายพิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่าง ทางการกลาโหมสหรัฐและประเทศอาเชียน ดังนั้นดูจากวัตถุประสงค์และจำนวนคนที่ไป ก็มีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นบุคคลากรทางความมั่นคงของไทย อีกทั้งมีบุคคลากรทางฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐร่วมเดินทางไปด้วย 1 คน ดังนั้นทั้งคณะจึงมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 38 คน
การันตีไม่มีใครได้ประโยชน์
ส่วนที่มีข่าวว่ามีอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเตรียมทหารรุ่น 6 เดินทางไปด้วย นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า จากที่ตนดูรายชื่อมีตำแหน่งกันทั้งนั้น และใกล้ชิดรองนายกฯ ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า การเดินทางครั้งนี้ค่าใช้จ่ายแพงถึง 20.9 ล้านบาทนั้น ตอนนี้เรากำลังขอหลักฐานจากการบินไทยที่เรียกเก็บเงิน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เบิกเงิน 20.9 ล้านบาทแล้วก็ไป แต่การบินไทยต้องมาวางบิลเก็บเงิน ยังไม่มีตัวเลขออกมามีแต่ประมาณการเบื้องต้น
อย่างไรก็ตามกรณีนี้เปรียบเหมือน"กระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา" คงไม่มีใครได้ประโยชน์
“บินไทย”ยันเช่าเหมาลำโปร่งใส
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
กล่าวชี้แจงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเที่ยวบินเช่าเหมาลำดังกล่าว 20.9 ล้านบาทที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในอยู่ขณะนี้ว่า ทางสตง.ได้ขอตรวจสอบมาที่การบินไทยแล้ว และบริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการถูกตรวจสอบอย่างเต็มที่ การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ทำทุกอย่างต้องโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
“ขอยืนยันว่า การคิดค่าใช้จ่ายการจัดเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่การบินไทยเสนอไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นราคาประมาณการ เป็นราคาที่เสนอระหว่างองค์กรของรัฐต่อรัฐตามราคาต้นทุน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ และสามารถเปรียบเทียบราคากับสายการบินอื่นในระดับพรีเมี่ยมได้ และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว การบินไทยจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง”นายจรัมพร กล่าว
บริการอาหารมาตรฐานพรีเมี่ยม
ส่วนอาหารบนเครื่องบินทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับให้บริการอาหาร และเครื่องดื่มรวมทั้งหมด 4 มื้อหลัก รวมทั้งอาหารว่างตลอดการเดินทาง และอาหารสำรองที่ต้องจัดเตรียมไว้ในกรณีที่การทำการบินไม่เป็นไปตามแผนการบิน ซึ่งการจัดเตรียมอาหารจะพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ทำการบิน โดยเส้นทางกรุงเทพฯ-ฮาวาย ใช้เวลาทำการบิน 12.30 ชั่วโมง ส่วนเที่ยวกลับเส้นทางฮาวาย- กรุงเทพฯ ใช้เวลาทำการบิน 12.45ชั่วโมง
ทั้งนี้ การบินไทยได้นำเสนอเมนูหลากหลายให้กับผู้ซื้อบริการเป็นผู้เลือกก่อนการเดินทาง เพื่อให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินตามมาตรฐานพรีเมี่ยมของการบินไทย การเลือกใช้เครื่องบินโบอิ้ง 747-400ทำการบิน เนื่องจากเป็นเครื่องบินที่สามารถทำการบินข้ามทวีปได้โดยไม่ต้องแวะพักเติมเชื้อเพลิงระหว่างทางและเป็นแบบเครื่องบินที่บริษัทฯ มีให้บริการได้เพียงพอสามารถนำมาให้บริการเช่าเหมาลำได้ โดยไม่กระทบกับตารางการบินปกติ
กห.ยัน”ชลรัศมี”ไม่ได้ไปด้วย
ด้านพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ผู้ร่วมคณะเดินทางไปกับพล.อ.ประวิตร รวม 38 คน รายชื่อเดินทางไป 40 คน ไม่ไปสองคน ส่วนพ.ต.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศข่าวช่อง 5 ไม่ได้ไป ส่วนนักข่าวช่อง 5 ที่ไปคือนางเหมือนฝัน คงศรี บก.ข่าวสายทหาร และนายจักรพงษ์ แพงคำแสง ช่างภาพ ช่อง 5 และในเที่ยวบินลำดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐร่วมไปด้วย 1คนในการประสานงาน
“ทุกคนเดินทางไปเพื่อปฏิบัติงาน ถ้าจะถามว่าคุ้มค่าหรือไม่นั้น ผมก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะงานด้านความมั่นคงไม่ได้วัดเรื่องกำไรหรือขาดทุน เรามีหน้าที่ให้มิติต่างประเทศไม่มีภัยคุกคาม สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งพัฒนาการเรื่องการต่างประเทศมีพัฒนาการที่ดี” พล.ต.คงชีพ กล่าว
ไม่ติดใจมี’เกลือเป็นหนอน’
พล.ต.คงชีพ กล่าวอีกว่า ส่วนคำถามที่ว่ามีเกลือเป็นหนอนหรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเราอยู่ในยุคสังคมข่าวสาร มาปิดกันไม่ได้ เราเปิดกว้างเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำงาน เราไม่หวาดระแวงใคร ต่างคนต่างก็ทำงานเพื่อประเทศ ผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ส่วนเรื่องเอกสารที่เผยแพร่นั้น ถ้าคนที่ได้รับผลกระทบคงดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป สำหรับตนอยากให้จบเรื่องนี้ ถ้าไม่จบก็พูดกันไม่จบ
ผู้ประกาศข่าวสาวโต้ร่วมทริป
ขณะเดียวกันพ.ต.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศข่าวสาว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 กล่าวชี้แจงผ่านรายการ เช้านี้ประเทศไทย ระหว่างเวลา 7.00-8.00 น. ซึ่งจัดร่วมกับนายวิทย์ สิทธิเวคินว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาตนจัดรายการสดอยู่กรุงเทพฯ อยู่หน้าจอช่อง 5 ไม่ได้ไปไหนไม่ได้ไปต่างประเทศ และวันเสาร์อยู่ที่ท้องนาที่จ.นครนายกซึ่งเป็นบ้านสวนของตนเอง
ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊กเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ซึ่งสนับสนุนนายกษิณ ชินวิตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทยได้เผยแพร่รายชื่อผู้โดยสารเที่ยวบินที่ TG8885 และ TG8886 ที่ได้เช่าเหมาลำ พบว่าลำดับที่20 มีชื่อของMAJ CHONRATSAMEE NGATHAWEESUK ที่นั่ง 24 F ทำให้พ.ต.หญิงชลรัศมี ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากโลกโซเชียลมีเดียว่าเป็นหนึ่งในคณะ 38 คน ที่ร่วมเดินทางไปกับพล.อ.ประวิตร ทำให้เธอต้องออกมาปฏิเสธดังกล่าว
ช่อง5ยื่นปอท.สอบเว็บไซต์ข่าว
เวลา 15.50 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนารายการและรายได้ และ พ.อ.จิระศักดิ์ เอี่ยมสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 5 เข้ายื่นหนังสือต่อ ปอท.ขอให้ตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ที่อ้างว่าพ.ต.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ดำเนินรายการ เดินทางไปรัฐฮาวายกับคณะของพล.อ.ประวิตร โดยมีพ.ต.อ.สยาม บุญสม รองบก.ปอท. เป็นผู้รับเรื่อง
ยัน”ชลรัศมี”อยู่จัดรายการสด
ทั้งนี้พ.อ.ธนาธิป กล่าวย้ำว่า ในวันที่ 29 ก.ย. พ.ต.หญิงชลรัศมีจัดรายการที่มีเนื้อข่าวตามที่ปรากฏ และในวันที่ 30 ก.ย.ก็ยังมานั่งพูดอยู่ตามภาพที่ปรากฏ ทั้งนี้ในเว็บไซต์มีการระบุว่าเป็นรายการวันที่ 30 ก.ย. แต่เนื้อข่าวเป็นวันที่ 29 ก.ย. ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ขอยืนยันว่าเราไม่มีการเอาข่าวดีเลย์มาออกจึงอยากให้ทาง ปอท.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
“ยืนยันว่าพ.ต.หญิงชลนัศมีจัดดรายการสดจริง ไม่ได้เป็นบันทึกเทป และไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ มีหลักฐานยืนยันจากองค์ประกอบต่างๆ ในเว็บไซต์ทั้งเครื่องแต่งกายและเนื้อหาข่าว
หากใครสงสัยมีการปกปิดซ้อนเร้นหรือไม่สามารถสอบถามพยานบุคคลได้”พ.อ.ธนาธิปกล่าว
โชว์พาสปอร์ตหรือไม่อยู่ที่เจ้าตัว
เมื่อถามว่า ทำไม พ.ต.หญิงชลรัศมี ถึงไม่แสดงพาสปอร์ตยืนยันเลยว่าตนไม่ได้เดินทางไปฮาวาย พ.อ.ธนาธิป กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ไม่ได้มีการประสานงานพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว ที่มาชี้แจงในวันนี้เนื่องจากผู้บริหารสงสัยว่าเป็นรายการสดหรือเทป จึงให้ตนมาชี้แจงว่าเป็นรายการสด
ส่วน พ.ต.หญิงชลรัศมีจะเข้ามาให้การทาง ปอท.หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าตัว
เมื่อถามว่า จะมีการเอาผิดทางกฎหมายหรือไม่ พ.อ.ธนาธิป กล่าวว่า ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายและผู้บริหารของช่อง 5 อีกครั้งหนึ่ง
ชี้พิรุธสงสัยเว็ปลงข้อมูลเป็นเท็จ
ส่วน พ.ต.อ.สยาม กล่าวว่า ทาง ปอท.ก็จะนำข้อมูลที่ได้รับไปตรวจสอบ ซึ่งทางช่อง 5 ยืนยันว่าเป็นรายการสด เบื้องต้นที่สันนิษฐานได้ว่าข้อมูลที่ลงผ่านสื่ออาจเป็นเท็จ ต้องไปตรวจสอบในทางเทคนิคอีกครั้ง ฝากเตือนประชาชนว่าการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นความผิด อาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีในการโพสต์ข้อความเท็จ การแชร์ คอมเม้นต์ หรือส่งต่อ อาจตกเป็นผู้ต้องหาเอง การรับชมสื่อออนไลน์ต้องใช้วิจารณญาณในการชมและตรวจสอบ อย่าแชร์หรือคอมเม้นต์โดยไม่คิดให้รอบคอบ
“อิศรา”แฉสั่งปิดข้อมูลชลรัศมี
ขณะเดียวกันสำนักข่าวอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ระบุว่า บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์ ได้แจ้งขอความร่วมมือให้สำนักข่าวอิศรา ปิดรายงาน เรื่องปีทองของ“ชลรัศมี”ผู้ประกาศข่าวสาว ททบ. 5 โกยรายได้ลิ่ว 34 ล้าน ที่นำเสนอไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2557 โดยให้เหตุผลว่า ได้รับแจ้งจากเว็บไซต์กลางของหน่วยงานราชการขอความร่วมมือในการระงับการเผยแพร่ข้อมูลบนสื่ออินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม กองบรรณาธิการสำนักข่าวอิศรา ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ดูแลเว็บไซต์ประสานไปยังผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงชื่อเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่ประสานงานขอให้ปิดรายงานเรื่องนี้ โดยขอให้แจ้งตอบกลับมาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ทั้งนี้น่าสังเกตว่าข่าวนี้ถูกปรากฎขึ้นหลังจากมีการวิพากษ์วิจารณ์รายชื่อผู้ที่ร่วมคณะไปกับพล.อ.ประวิตร
“มีชัย”แจงปฏิทินคลอด กม.ลูก
ทางด้านความคืบหน้าพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)นั้น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. กล่าวยืนยันว่ากรธ. ต้องเร่งทำร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองและ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้แล้วเสร็จและส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาโดยใช้เวลาอย่างน้อย 60-70วัน เพื่อให้พรรคการเมืองและ กกต. มีเวลาเตรียมตัวทำงานและปรับกระบวนการตามกฎหมาย
ปรับที่มากกต.จว.สู้อำนาจมืด
นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ. กล่าวว่า ขณะที่ กรธ.อยู่ระหว่างระดมความเห็นเพื่อจัดทำร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต.ให้ตอบโจทย์ คือ ต้องแก้ปัญหาความเคลือบแคลงในกระบวนการตรวจสอบการเลือกตั้งที่เป็นธรรม สุจริต และโปร่งใส ดังนั้น อาจต้องปรับในส่วนของ กกต.จังหวัด เพื่อให้ได้คณะทำงานที่มีประสบการณ์ และไม่เกรงกลัวต่อกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่
“ตามข้อเสนอของ กกต.ที่ให้ กกต.จังหวัด มาจากการสรรหาจากบุคคล และภาคประชาชนในพื้นที่ อาจไม่ตอบโจทย์ดังกล่าว ดังนั้น กรธ.ได้หารือเบื้องต้น อาจปรับแนวทางการสรรหา กำหนดให้บุคคลโดยตำแหน่งเข้ามาทำหน้าที่ กกต.จังหวัด เพื่อลดความเกรงกลัวของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และยืนยันว่า ไม่มีประเด็นของการเซตซีโร่องค์กรหรือพรรคการเมือง” นายอุดม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี