มาถึงตอนที่ 5 กับอาจารย์กรณ์สอนธรรมศาสตร์ คุณผู้อ่าน สามารถอ่านย้อนตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ได้ทางเว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ทางลิงค์ http://www.naewna.com/columnist/1175 ครับ
4 ตอนแรกเนื้อหาเน้นที่คำว่า พัฒนาเทคโนโลยีโลกาภิวัตน์ ซึ่งดูเป็นเหมือนโลกที่ก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง แน่นอนการทำให้เกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ไทยเราเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรมช่วงปี 1986 หรือ พ.ศ.2529 หลังจากนั้นเรื่อยมา เรามีทิศทางการพัฒนาเป็นแบบอุตสาหกรรมมาโดยตลอด เราก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากจนเกือบจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ก็ต้องล้มฟุบไปเพราะวิกฤติการเงินในปี 2540 ภาคธุรกิจ การเงิน เจ็บตัวไปตามๆ กัน หลังจากนั้นเรื่อยมา เราก็ง่อนแง่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ถาโถมจากการเมืองและเศรษฐกิจ
โชคยังดีมากที่แนวทางการพัฒนายุคปี 1980-1990 ได้วางรากฐานการผลิตของประเทศเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง บุญเก่านี้เราใช้เรื่อยมาจนเกือบจะหมดแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามเข็นแนวทางการพัฒนาแบบใหม่ หรือประเทศไทย 4.0 เพื่อชดเชยในสิ่งที่กำลังจะหมดไป
ทิศทางการพัฒนาของไทยยุคหลังจากนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปตอนที่แล้ว ไทยจะต้องมีวิถีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป หัวใจคือต้องผลิตอย่าง “มีประสิทธิภาพ” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่
กระนั้นก็ตามครับ..
อาจารย์กรณ์ย้ำกับนักศึกษาว่า เรื่อง 4.0 ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิต แต่สามารถใช้หลักการนี้กับภาคการเกษตร ที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาประเทศไทยโดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจฐานราก
หากพิจารณาจากจำนวนประชากรไทย เรามีเกษตรกรทั้งแบบแรงงานแฝงและแรงงานจริงอยู่ประมาณ 20 ล้านคนจากวัยทำงานนอกระบบประกันสังคม เป็นชาวนาประมาณ 10 ล้านกว่าคน โดยหากดูแนวทางในการผลิตแล้ว เกษตรกรไทยยังทำการผลิตแบบ 1.0 เป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายถึงการผลิตโดย “ใช้แรงงานคน”
ภาคเกษตร 4.0 หมายถึงการเอาเทคโนโลยีการผลิตพืชเกษตรมาใช้ นำการวิจัยพัฒนาทั้งทางชีววิทยา เคมีที่ไม่เป็นอันตรายบางส่วนมาผนวกกับเทคโนโลยี สามารถทำให้ประเทศเล็กๆ อย่าง เนเธอร์แลนด์ และอิสราเอล กลายเป็นประเทศที่ไม่มีทุนทางการเกษตรเลย กลายเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงหลัก ในภูมิภาคยุโรปขึ้นมาได้
ในส่วนของไทยเรามีดียิ่งกว่านั้นครับ หัวข้อที่อาจารย์กรณ์ได้สะท้อนให้นักศึกษาได้คิดตามในตอนท้ายคือ ความน่าสนใจระหว่างความแตกต่างของ Hi-Tech กับ Hi-Touch
อยากให้ช่วยกันจำคำนี้เอาไว้ครับ Hi-Touch !!!
ไฮเทค ทุกคนเข้าใจและรู้กันดีว่าหมายถึงอะไร ก็หมายถึงสิ่งที่กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ต้นนั่นแหละ คือ แนวทางการพัฒนาแบบเดิม ก้าวไกลด้วย นวัตกรรม เทคโนโลยี ดูเป็นอะไรใหม่ๆ ดูเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ AI ปัญญาประดิษฐ์ ไอที ล้ำยุคต่างๆ นานา
แต่ไฮทัช คือสิ่งที่ไทยเรามี แต่ประเทศอื่นๆ ที่มีนั้นหายากจริงๆ
แนวทาง ไฮทัช คือแนวทางหนึ่งที่จะเป็นการไม่ทิ้งคนเอาไว้ข้างหลัง เป็นทางที่ถูกนำมาคิดต่อทางนโยบาย ในอีกแง่หนึ่งคือ Soft Power ของประเทศหรือทุนทางศิลปะ และวัฒนธรรมที่ยากที่จะหาชาติใดมาเสมอเสมือน ซึ่งทุนแบบนี้ ประเทศไทยของเรามีเยอะมาก
หากจะยกตัวอย่างสิ่งที่สูงที่สุดของประเทศแห่งนี้ก็คือ พระราชวัง รวมถึงวัด หรือพระอารามหลวงต่างๆ ที่ในปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้มากมายทุกๆ ปี
วัฒนธรรมของไทยเรา โจทย์ทางราชการถูกตีออกมายังคงผิดรูปแบบ หรืออาจจะเป็นรูปแบบที่แคบเกินไป โดยยังคงมองที่รูปแบบทางวัฒนธรรมที่เป็นเรื่องเก่าเท่านั้น ปัจจุบัน วัฒนธรรมการกิน วัฒนธรรมพื้นบ้าน เป็นจุดขายสำคัญให้แก่ประเทศได้เช่นเดียวกัน
จากภาพที่เป็นสไลด์ที่คุณกรณ์โชว์ให้ดูตรงนี้คือ รากของปัญญาพื้นถิ่นที่ได้นำข้าวพันธุ์พื้นเมืองมาชูเรื่องราวสร้างจุดขายให้ สุดท้ายแล้วได้สร้างเป็นมูลค่าเพิ่มแก่รายได้ของชุมชน แก่ครัวเรือน เงินก็จะสะพัดในเศรษฐกิจฐานรากได้ในที่สุด
ข้าวหอมมะลิไทยหรือถ้าเรียกให้เต็ม “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ถูกจด Geographical Indication ที่เรียกสั้นๆ ว่า จีไอ ไว้เรียบร้อยแล้ว คิดกันดูสิครับ เรามีของดีอยู่กับตัวขนาดนี้แต่กลับไม่เอามาชูจุดเด่นสร้างมูลค่าเพิ่ม ยังปล่อยให้ชาวนาขายข้าวเปลือกที่ตันละ 1 หมื่นกว่าบาท อยู่กันอย่างลำบากต่อไป
การสร้าง Hi-Touch แน่นอนต้องทำมากกว่านี้ โครงการเกษตรเข้มแข็ง ที่คุณกรณ์ริเริ่มไว้เมื่อ 4 ปีก่อน มีการนำพันธุ์ข้าวหอมมะลิท้องถิ่นมาผสมกันโดยสูตรของผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่เป็นคนไทย แล้วก็ให้ดีไซเนอร์คนไทย นำผ้าขาวม้าที่กองพะเนินอยู่หลังบ้านมาทอ เย็บใหม่เป็นแพ็กเกจสวยเก๋ เพิ่มมูลค่าข้าวจากตันละหมื่นเป็นตันละ 25,000 บาท แถมหลังบ้านยังได้ค่าเย็บผ้าอีกต่างหาก โมเดลแบบนี้แหละครับที่ควรต้องสนับสนุนทั้งคนปลูกและคนบริโภค
ค่านิยมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมาช่วยเสริมในเรื่องนี้ เราต้องยอมรับกันก่อนว่า ของไทยดี ของบ้านเรามีคุณภาพที่สุด ในอีกขาหนึ่งคือ ผู้ผลิตหรือเกษตรกรของไทยเองต้องเปลี่ยนแบบสุดขั้วเลยคือ ต้องขยัน ต้องแน่วแน่ในการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน เรื่องนี้จากการปฏิบัติจริงในโครงการของเรายังคงเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วยกันให้ถึงฝั่งกันไปข้างนึงครับ
Hi-Touch อีกเรื่องหนึ่งที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ การท่องเที่ยวแบบพื้นบ้าน การท่องเที่ยวแนววิถีชีวิต ประเทศไทยของเรามีฉาก มีวิวแบบเกษตรกรรม มีความเป็นธรรมชาติที่งดงามมากกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เราไม่ควรจะสร้างสถานที่ท่องเที่ยวซ้ำๆ กับเมืองนอกคือ “ห้าง” อีกต่อไป
นักท่องเที่ยวอุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมา แน่นอนเขาไม่ได้อยากมาเดินห้างหรูใจกลางเมืองแน่นอน เขาอยากมาสัมผัสว่าเรามีดีอะไรบ้าง เราเป็นใคร เรากินอยู่อย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งที่ละเลยไม่ได้เลย “อาหารไทย” นี่แหละคือทุนทางวัฒนธรรมที่สร้างมูลค่าได้อย่างชัดเจน เราผสมผสานหลากหลาย จนได้ที่กำลังดีเป็นอาหารไทย
จากทุกหลักแนวคิดที่ได้กล่าวมาย้อนไปตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้คือการบรรยายในคลาส โลก อาเซียน และไทย โดยอาจารย์กรณ์
แก่นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ
ไทยของเรามีโอกาสในการพัฒนาอีกมาก และหลากหลาย อาจารย์กรณ์ได้ย้ำตรงที่หลากหลายนี่แหละครับว่า หากเยาวชนคนรุ่นใหม่เห็นโอกาสก่อนปรับตัวก่อน รับรองว่าจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศของเราให้ไปไกลได้กว่านี้อีกมากแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี