นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกลุ่มบริษัท ไฮเออร์ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศจีน ภายใต้แบรนด์ “ไฮเออร์” เปิดเผยว่า ในปี 2557 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5%จากปี 2556 แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มเครื่องปรับอากาศ 700 ล้านบาท ตู้เย็น 600 ล้านบาท ตู้แช่แข็ง 200 ล้านบาท เครื่องซักผ้า 200 ล้านบาท โทรทัศน์ 120 ล้านบาท และสินค้าอื่นๆ 80 ล้านบาท

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไฮเออร์ได้สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ และพัฒนาสินค้าให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นสุดยอดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับของยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล สำหรับในไทยนั้น ไฮเออร์ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งทั้งในด้านภาพลักษณ์ ยอดขาย และการรับรู้แบรนด์สินค้า โดยคาดว่ายอดขายในปี 2558 นี้จะเติบโตประมาณ 20% หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,300 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ปี 2558 นี้ ไฮเออร์ประเทศไทย ได้ทำตลาดในไทยก้าวสู่ปีที่ 13 โดยมีนโยบายในการขยายการทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดี และผู้บริโภคมีความต้องการซื้อค่อนข้างสูง เริ่มด้วยการวางตลาดเครื่องทำน้ำอุ่น เตาไมโครเวฟ เครื่องอบผ้า และสินค้าอื่นๆ ที่จะตามมาตลอดทั้งปี 2558 บริษัทเชื่อว่าผู้บริโภคจะให้การตอบรับที่ดี

“การเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในครั้งนี้ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ไฮเออร์ และการทำตลาดในไทยจะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภาวะแข่งขันของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างรุนแรงในปี 2557 แต่ไฮเออร์ก็สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าปี 2556 ส่วนในปี 2558 นี้ การแข่งขันก็ยังรุนแรงเช่นเดิม ซึ่งบริษัทพยายามที่จะสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 10% โดยแผนระยะ 3-5 ปีจากนี้ ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 3 ของตลาดในไทยให้ได้ จากปัจจุบันอยู่อันดับ 6-7” นายหยาง เสี้ยวหลิน กล่าว

ทั้งนี้การทำตลาดในปี 2558 จะลดการโฆษณารูปแบบเดิมๆ แต่จะหันไปเน้นการ สร้างแบรนด์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น โดยจะมีเว็บไซต์ของตัวเอง ในระยะแรกไม่ได้เป็นการขายสินค้าของไฮเออร์ แต่จะมีสินค้าของพันธมิตรมาร่วมขาย ซึ่งจะเรื่องการทำกิจกรรมเพื่อรับรู้แบรนด์มากกว่า ซึ่งจะเปิดตัวในไทยเป็นประเทศแรกในวันที่ 28 มกราคม 2558 บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีแรกในช่องทางดังกล่าว 100 ล้านบาท