nn ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจยาสูบทั่วโลกและไทยอยู่ในช่วงยากลำบากมาก...โดยเฉพาะประเทศไทยที่แม้แต่กิจการยาสูบซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นกิจการผูกขาดมานานหลายสิบปีกำลังจะเจ๊ง...เพราะนโยบายของรัฐที่ต้องการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่แต่เลือกใช้วิธีการที่ผิดและล้มเหลวนั่นเอง... มีงานเขียนอยู่ชิ้นหนึ่งที่เขียนโดย... Sinclair Davidson ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ จาก RMIT University เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย...อธิบายตรรกะของความล้มเหลวในการใช้นโยบายที่ผิดพลาดในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้เห็นภาพชัดเจนดีมาก...
ในงานเขียนชิ้นดังกล่าวระบุว่า...ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะควบคุมการสูบบุหรี่ด้วยการเพิ่มขนาดของภาพคำเตือนที่อยู่บนซองบุหรี่อยู่หลายครั้ง โดยในปัจจุบันภาพคำเตือนที่น่าสยดสยองนี้มีขนาดถึงร้อยละ 85 ของพื้นที่ซองบุหรี่ แต่กระนั้นตัวเลขของผู้สูบบุหรี่ในประเทศก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ...ทิศทางที่สวนกันเช่นนี้น่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ในไทยได้ฉุกคิด...พิจารณาถึงแนวทางใหม่ๆ ที่จะลดอัตราการสูบบุหรี่ลง...ตามปกติวิถีแล้วนโยบายที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นนโยบายที่ค่อนข้างช้าแต่มีความมั่นคง การให้ความรู้กับสาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพนั้นดูเหมือนว่าจะได้ผลและช่วยกระตุ้นให้ผู้สูบที่มีอายุอยากสูบน้อยลง....
อย่างไรก็ตามในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มนักล็อบบี้สายสาธารณสุขได้เปลี่ยนประเด็นความสนใจจากการลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพมาเป็นการทำให้อุตสาหกรรมยาสูบค่อยๆพังทลายลง....ปัจจุบันจึงเห็นนโยบายใหม่ๆที่เกี่ยวกับการต่อต้านยาสูบ และการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบไปไกลกว่าการให้การศึกษาแก่กลุ่มผู้สูบหรือกลุ่มที่มีโอกาสสูบแล้ว....สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ “การลด บั่นทอน หรือทำให้บรรทัดฐานของการสูบบุหรี่แย่ลง (Denormalisation)”... ปัจจุบันในหลายพื้นที่ทั่วโลกผู้สูบบุหรี่ได้กลายเป็นคนประหลาดของสังคมไปแล้ว....
ในงานเขียนชิ้นนี้...ยกตัวอย่างประเทศออสเตรเลียที่ใช้นโยบาย “ซองบุหรี่แบบเรียบ” (ซึ่งไทยเองก็อยู่ในจุดที่กำลังพิจารณา)...ในปี ค.ศ.2012 ซึ่งนโยบายนี้หลักๆ คือ...ขนาดของภาพคำเตือนบนซองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และ ตราผลิตภัณฑ์ และ LOGO ของผู้ผลิตถูกห้ามไม่ให้ปรากฏบนซอง และถูกแทนที่ด้วยสีและรูปแบบอักษรที่เป็นมาตรฐานแบบเดียวกันทั้งหมด...ซึ่งในตอนนั้นก็มีคำถามที่ตามมาว่า...นโยบายนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ และมันถูกกฎหมายหรือเปล่า...!! ในคำถามเรื่องกฎหมายนั้น..ดูเหมือนจะผ่านไปได้เพราะแม้จะมีการฟ้องร้องในประเด็นทรัพย์สินทางปัญหา...แต่องค์กรการค้าโลกได้ออกมาประกาศแล้วว่านโยบายนี้ไม่ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาทรัพย์สินทางปัญญานานาชาติ
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้บรรทัดคือ...คำถามที่ว่า..นโยบายนี้จะได้ผลจริงหรือไม่??... การสำรวจ Drug Strategy Household ระดับชาติที่จะสำรวจทุกๆ 3 ปีในออสเตรเลีย...สถิติที่ได้ไม่ได้แสดงถึงการลดลงของอัตราตัวเลขผู้สูบระหว่างปี 2013-2016...ซ้ำจากปัจจัยเรื่องการเติบโตของประชากร ทำให้ตัวเลขของผู้สูบจริงกลับเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าวด้วยซ้ำ...แม้ว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะปฏิเสธความล้มเหลวของนโยบายนี้ด้วยยกเอา...ผลจากการศึกษาแบบติดตามของทางรัฐฯออสเตรเลียเอง หรือ National Tobacco Plain Packaging Survey ที่ถูกจัดทำขึ้นเพื่อวัดผลของนโยบายได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายนี้ประสบความสำเร็จ... แต่ทางคณะลูกขุนขององค์การการค้าโลกกลับออกมาโต้แย้งผลการศึกษาดังกล่าว โดยให้ข้อมูลว่าหลักฐานเหล่านี้ถูกจำกัดและถูกบิดเบือน...ที่แย่กว่านั้นกว่านั้นคือในบางพื้นที่ของประเทศ ผลการศึกษาฯนี้ได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายดังกล่าวให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ของนโยบายอย่างสิ้นเชิง...
และขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียเองยังคงปฏิเสธเรื่องความล้มเหลวของการใช้นโยบายซองบุหรี่แบบเรียบนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของฝรั่งเศส นาย AgnèsBuzyn กลับออกมายอมรับว่ายอดขายของผลิตภัณฑ์ยาสูบในฝรั่งเศสได้เพิ่มสูงขึ้นหลังจากมีการปรับใช้นโยบายซองบุหรี่แบบเรียบ เช่นเดียวกันกับในสหราชอาณาจักร สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้รายงานถึงการสูบบุหรี่ที่กระจายความแพร่หลายเพิ่มขึ้นในช่วงปีแรกของการมีซองบุหรี่แบบเรียบในประเทศ
ในงานนี้ชิ้นนี้ยังระบุอีกว่า....การลักลอบและปลอมแปลงบุหรี่ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะซองบุหรี่แบบเรียบทำให้การลอกเลียนแบบและอาชญากรรมเหล่านี้ทำได้ง่ายขึ้น และยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของภาษีสรรพสามิตด้วย...และระบบการลดและทำให้บรรทัดฐานของการสูบบุหรี่ต่ำลงนั้นจะทำให้บรรดาผู้สูบบุหรี่จะเต็มใจเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้ามืดแบบนี้...
ประเด็นที่เป็นไฮไลท์ของงานเขียนชิ้นนี้ที่ “เศรษฐศาสตร์วันหยุด” อยากโฟกัสคือ....รัฐบาลไทยควรจะหันมาศึกษาผลวิจัยและผลการศึกษาเหล่านี้ให้มากขึ้นเพราะทางรัฐเองกำลังมองว่านโยบายซองบุหรี่แบบเรียบนี้จะเป็นวิธีการที่น่าจะได้ผลและควรนำมาใช้กับประเทศ แต่อย่าลืมว่าประเทศไทยเองเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งแตกต่างจากประเทศออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร นโยบายที่ยืดหยุ่นเกินไปในด้านการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาแบบนี้อาจจะนำไปสู่การสูญเสียความมั่นใจจากนักลงทุนต่างชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลกระทบโดยตรงกับเศรษฐกิจของไทยมากกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว... การเน้นความสำคัญไปที่การศึกษาแบบในประเทศญี่ปุ่นอาจเป็นหนทางที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าสำหรับไทยและถือเป็นสิ่งที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง ซึ่งสามารถทำได้โดยการให้การศึกษาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่วัยเด็กถึงเรื่องภัยอันตรายของการสูบบุหรี่...แม้ว่าจะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รวดเร็วแต่หากรัฐบาลไทยต้องการที่จะทำให้ความแพร่หลายของการสูบบุหรี่ลดลง... รัฐบาลก็ไม่ควรที่จะทำตามนโยบายที่อาจจะดูดีหรือเป็นกระแสแต่ไร้ซึ่งประสิทธิผล...nn
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี