นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) หรือการประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ เดิมคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 3-3.5% แต่จากการประเมินล่าสุดอาจต้องมีการปรับลง แต่ยังไม่คาดการณ์ได้ว่าจะปรับลดลงเท่าไหร่
อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะนำมาใช้นั้น กระทรวงการคลังตั้งเป้าประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท ซึ่งในเชิงตรรกะตัวเลขแล้วถือว่าเพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ที่ประมาณ 3-3.2% เพราะเม็ดเงินจะถูกใช้ทันทีในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2562 อย่างน้อยประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และอาจจะมีการโอนให้ชาวนาส่วนหนึ่ง จึงน่าจะมีผลพยุงให้เศรษฐกิจไทยไม่ทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมมองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 น่าจะขยายตัวได้ที่ 2.6-2.8% ซึ่งจะต้องดูมาตรการกระตุ้นผ่านการท่องเที่ยวจะมีผลเร็วแค่ไหน รวมทั้งแนวทางนโยบายต่างๆ เช่น สินเชื่อ SMEs, สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อธุรกิจทั่วไป แต่ก็คาดว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) จะระดมการปล่อยสินเชื่อได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างน้อย 50,000-100,000 ล้านบาท จึงคาดว่าวงเงินที่จะมีการใช้ทั้งหมดในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ประมาณ 100,000-200,000 ล้านบาท มีโอกาสเกิดขึ้นได้และน่าจะผลักให้เศรษฐกิจได้ช่วงไตรมาสที่ 4 พร้อมขยายตัวเป็น 3.5-4% ได้ ทำให้ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะมีการขยายตัวอยู่ในกรอบประมาณ 3-3.5% โดยเฉลี่ยได้ หากรวมกับครึ่งปีแรกโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ประมาณ 3-3.2% โดยรวมเกิดขึ้นได้
นายธนวรรธน์ยังเสนอแนะว่าภาครัฐควรมีมาตรการอื่นๆ เสริมเช่น การประกันรายได้เกษตรกร มาตรการช็อปช่วยชาติ มาตรการเร่งรัดให้องค์กรส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนการจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจ มาตรการที่ให้หน่วยงานภาครัฐเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเกตรอย่างยางพารา และการดูแลค่าเงินบาทให้ทรงตัวไม่หลุด 30.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก็เพียงพอให้โตได้ตามกรอบ 3-3.5% หากเศรษฐกิจมีปัญหาในเชิงเศรษฐกิจโลกรัฐบาลอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินมาตรการที่ใช้ปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ส่วนการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ของปีนี้นั้น เชื่อว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจยังไม่พิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายในเร็วๆ นี้ เนื่องจากจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการประเมินผลของการลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งที่แล้วก่อน
“เราจะเห็นว่าบางธนาคารตอบสนองนโยบายด้วยการลดดอกเบี้ยลง 0.25% ขณะที่บางธนาคารปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพียง 0.125% เท่านั้น ทั้งนี้ กนง.คงจะรอพิจารณาสถานการณ์เงินเฟ้อก่อน ซึ่งหากภายใน 3 เดือนแล้วสถานการณ์เงินเฟ้อยังไม่ดีขึ้นก็คาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งในไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่เชื่อว่า ธปท. จะยึดการใช้ดอกเบี้ยนโยบายในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อเป็นหลักไม่ได้ใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหลักหรือเพื่อดูแลค่าเงินบาท”นายธนวรรธน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี