นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่าขณะนี้มีความกังวลถึงตัวเลขนักศึกษาจบใหม่ปีการศึกษา 2563 จำนวน 500,000 คน ที่อาจกลายเป็นผู้ว่างงานถาวรเนื่องจากผลกระทบจากไวรัสโควิด-19ทำให้นายจ้างไม่มีนโยบายรับคนเพิ่มแม้ว่ารัฐจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์สู่เฟส 5ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินกิจการปกติแต่ภาพรวมธุรกิจก็ไม่ได้กลับมาดำเนินธุรกิจได้เหมือนเช่นก่อนโควิด-19ส่งผลให้แรงงานไม่รวมเด็กจบใหม่ที่เหลือของปีนี้ยังคงมีอัตราว่างงานประมาณ3.5-3.6 ล้านคน
“ผมห่วงเด็กจบใหม่ปีนี้ 5 แสนคนที่หากปล่อยว่างงาน 1-2 ปี จะตกงานถาวร โดยมองว่าดีสุดที่จบมาในสาขาที่ดีๆ อาจถูกดึงตัวไปทำงานได้อย่างเก่งก็ราว 20% ที่เหลือราว 400,000 คน จะตกงานถาวรเพราะส่วนหนึ่งจบระดับอุดมศึกษาที่ไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง และผลของโควิด-19 นายจ้างเองมีน้อยมากที่จะรับคนเพิ่ม เพื่อลดขนาดธุรกิจลงให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและเศรษฐกิจทั้งไทยและโลก ที่คาดว่าจะถดถอยและยังไม่รู้ว่าโควิด-19จะจบเมื่อใด”นายธนิตกล่าว
นายธนิตกล่าวว่า กำลังซื้อในประเทศและต่างประเทศยังมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจที่หลังจากคลายล็อกดาวน์มากขึ้นในส่วนของไทยแรงซื้อเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นกว่าช่วงล็อกดาวน์แต่ยังคงไม่เหมือนเดิมเนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพิงต่างชาติ รวมถึงอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งการส่งออกทำให้ธุรกิจบางส่วนเดินเครื่องผลิตเพียง 50-60%จึงต้องลดแรงงานลง ประกอบกับภาคเกษตรประสบภัยแล้งสะท้อนไปยังหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นบ่งชี้ถึงภาวะที่คนไทยจนลง ขณะที่คนพอมีแรงซื้อยังคงมีการประหยัดบริโภคแต่ของจำเป็น เพราะยังไม่แน่ใจในอนาคต ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจเริ่มมีการเจรจายืดหนี้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในระบบสถาบันการเงินสูงขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้
“หากดูทิศทางเงินเฟ้อ และแนวโน้มเศรษฐกิจแม้ว่าจะเริ่มดีขึ้นแต่ภาพรวมทั้งปีนี้ก็ยังคงไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป และปัญหาคือเราพูดกันว่าธุรกิจหลังโควิด หรือ Post COVID-19 แต่วันนี้โควิดยังไม่จบเลยทั่วโลกยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องภาพรวมเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจโลกและไทยยังคงไม่อาจกลับไปเหมือนปีก่อนๆ หน้านี้ได้อีกซึ่งอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี ดังนั้นภาครัฐควรเร่งหามาตรการมารองรับแรงงานเหล่านี้อย่างเร่งด่วน”นายธนิตกล่าว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเชีย พลัส กล่าวว่าภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
ยังมีหลายปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการระบาดของไวรัสโควิด-19ที่เพิ่มขึ้น สงครามการค้าจีน-สหรัฐที่มีแรงกระตุ้นจากความตึงเครียดสถานการณ์จีน-ฮ่องกง ขณะที่ในประเทศ แม้สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มดีมาก แต่ครึ่งปีหลังตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐที่ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเป็นติดลบ 8.4%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี