นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เปิดเผยว่าน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจึงทำให้สินค้าและบริการต่างๆ มีราคาแพงขึ้นปัจจุบันราคาน้ำมันในประเทศอยู่ที่ลิตรละ 30-40 บาท ส่วนดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของภาคขนส่ง แม้รัฐบาลจะมีนโยบายตรึงราคาให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แต่ราคาก็ยังสูงกว่าราคาในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา อินโดนีเซีย เวียดนาม ราว 2-4 บาทต่อลิตรและแพงกว่ามาเลเซียถึง 13 บาทต่อลิตร ทำให้ต้นทุนของภาคขนส่งของเราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
สาเหตุของน้ำมันแพงว่า มาจากการกำหนดโครงสร้างราคาของรัฐที่ให้อิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์แล้วยังให้บวกค่าขนส่งเสมือนนำเข้ามาจากประเทศสิงคโปร์ ทั้งที่จริงๆ แล้วประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันสำเร็จรูปใช้ในประเทศได้พอเพียง จนปัจจุบันยังถึงขั้นเหลือพอส่งออกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีก๊าซแอลพีจี ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตก๊าซแอลพีจีได้ถึง 91% และนำเข้าเพียง 9% ของปริมาณการจัดหาทั้งหมดของประเทศ แต่รัฐกลับกำหนดโครงสร้างราคาจากโรงกลั่นน้ำมันอิงราคาตลาดโลกและให้บวกค่าขนส่งเทียมเสมือนว่านำเข้ามาจากประเทศซาอุดีอาระเบียทั้งหมด ขณะที่แอลพีจีที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งมีต้นทุนราคาต่ำที่สุดเพราะใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเป็นวัตถุดิบประชาชนก็ไม่ได้มีโอกาสใช้เป็นลำดับแรก เพราะถูกกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ใช้ก่อนจนแทบหมด ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรม เป็นการตั้งราคาที่กีดกันการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสมบัติสาธารณะ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนมากเกินไป และสร้างภาระให้ประชาชน
ด้านนางสาวรสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สอบ. กล่าวว่าการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันมีการอ้างอิงจากราคาต่างประเทศเป็นการคิดราคาอ้างอิงในอดีตเพื่อจูงใจนักลงทุนในระยะเริ่มต้น เนื่องจากโรงกลั่นของไทยมีไม่เพียงพอ แต่ปัจจุบันเราสามารถผลิตน้ำมันได้ในปริมาณมากจนเหลือส่งออกไปขายต่างประเทศได้จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดโครงสร้างราคาในลักษณะดังกล่าว
ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำมันแพง คือ การเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันของรัฐบาลในอัตราสูง โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา รัฐเก็บภาษีน้ำมันมากกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี แต่ไม่เห็นว่ารัฐนำภาษีน้ำมันที่เก็บได้ไปอุดหนุนหรือพัฒนาบริการขนส่งมวลชนอื่นๆ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถสาธารณะแต่อย่างใดในปัจจุบันเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกมีราคาสูง รัฐบาลไม่ยอมลดราคาภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงแต่กลับใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาพยุงราคาแทน ส่งผลให้ต้องกู้เงินเพิ่ม 2-3 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้พยุงราคาน้ำมัน และอาจกลายเป็นการกู้เงินต่อเนื่องที่ไม่จบสิ้น
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาคณะกรรมการนโยบายสภาองค์กรของผู้บริโภคได้เคยส่งข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 แต่รัฐบาลยังแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด จึงขอย้ำข้อเสนอที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้และเป็นส่วนที่อยู่ในการดูแลของรัฐ คือ ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลง โดยไม่ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันที่มีสถานะติดลบไปแล้วมาอุดหนุนราคาแต่อย่างใด และให้กำหนดราคาน้ำมันที่โรงกลั่นตามต้นทุนที่แท้จริงโดยต้องไม่มีค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายเทียมเสมือนว่ามีการนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่าการนำเงินมาแจกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี