นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงภาวะสังคมไตรมาส 3/2565 ว่า สถานการณ์ด้านแรงงานไตรมาส 3 ปีนี้การจ้างงานขยายตัวได้จากสาขานอกภาคเกษตรกรรม แต่ภาคเกษตรกรรมยังคงหดตัวจากปัญหาอุทกภัย การว่างงานปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ และชั่วโมงการทำงานที่ฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่ค่าจ้างที่แท้จริงยังหดตัวจากผลของเงินเฟ้อ
โดยพบว่า การจ้างงานทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ที่เพิ่มขึ้น 4.3% หรือมีการจ้างงาน 27.2 ล้านคนสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น คือ สาขาค้าส่งค้าปลีก และโรงแรมและภัตตาคาร ผลจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในไตรมาส 3 เพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรกรรม มีการจ้างงาน 12.4 ล้านคน ลดลง 2.4% จากผลกระทบของอุทกภัย
ส่วนชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้น ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยชั่วโมงการทำงานในภาพรวม และภาคเอกชนอยู่ที่ 42.5 และ 46.7 ชั่วโมง/สัปดาห์ ตามลำดับ ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างที่แท้จริงหดตัว โดยค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานภาคเอกชน หดตัว 1.7% และค่าจ้างที่แท้จริงในภาพรวม หดตัวถึง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การว่างงานปรับตัวดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้ว่างงาน 4.9 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.23% เช่นเดียวกับการว่างงานในระบบที่ลดลงอยู่ที่ 1.99% ซึ่งเป็นการลดลงทั้งผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน และไม่เคยทำงานมาก่อน
ประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป คือ 1) การมีแนวทางบรรเทาภาระค่าครองชีพของแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ 2) การเร่งช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ยากจน และ 3) การสนับสนุนให้ผู้ว่างงานเข้าสู่ระบบการอบรม และพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว
ขณะที่ภาวะหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 2/65 ชะลอตัวต่อเนื่อง โดยมีมูลค่า 14.76 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.5% ลดลงจาก 3.7% ของไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับลดลงเป็น 88.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และการชะลอตัวของการก่อหนี้ของครัวเรือนจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
ด้านคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากมาตรการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ และการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่องของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อยานยนต์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเริ่มมีการค้างชำระเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาส 2/65 ยังพบว่า หนี้เสียขยายตัวในระดับสูงในกลุ่มลูกหนี้อายุตั้งแต่ 41 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มสูงอายุ และลูกหนี้ NPLs จากผลกระทบของโควิด-19
ในระยะถัดไป มีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือน ได้แก่ 1) ภาระค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น 2) ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยมีแนวโน้มก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนเพิ่มขึ้น และ 3) อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ คือ 1. การเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อยานยนต์กลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสีย เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 2. การมีมาตรการสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาอุทกภัย และ 3. การมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี