นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลการประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2565-2566 ว่า ปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2565-2566 คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้นและปรับเป็นโรคประจำถิ่นการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาคเอกชนมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน รายได้ของเกษตรกรยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่มองว่า เศรษฐกิจประเทศไทยในปีหน้าจะได้รับการประคับประคองจากปัจจัยหนุนข้างต้น โดยเฉพาะจากการท่องเที่ยวที่ดี ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 22 ล้านคน ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ 3.6%
ทั้งนี้ สินค้าเกษตรที่มีราคาสูงขึ้นทำให้การจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มเกษตรกรมีมากขึ้น ส่วนภาคบริการโดยเฉพาะธุรกิจกลางคืนกลับมาฟื้นตัวส่งผลต่อการเงินสะพัดในภาวะเศรษฐกิจและการเตรียมตัวเลือกตั้งทั่วไปในช่วงไตรมาสที่ 1 ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดไปจนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 สามารถพยุงเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เศรษฐกิจโลกจะทยอยกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันและเงินเฟ้อจะไม่สูงขึ้นแล้ว และในช่วงครึ่งปีหลังการลงทุนของภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC มีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 3.7%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจยังคงเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อผู้สูงขึ้น ธนาคารกลางประเทศต่างๆถูกกดดันให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะถดถอย ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลกทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไทยเคลื่อนไหวผันผวน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทำให้การเข้าถึงสินค้าทุนลดลงส่งผลต่อการค้าโลก
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า ศูนย์พยากรณ์ฯยังคาดการณ์อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.1 ในปีหน้าซึ่งมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะเหลือร้อยละ 3 นั้นเป็นเพราะโดยส่วนใหญ่ตลาดยังคงเป็นของผู้ซื้อ และผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาเพิ่มมากขึ้นได้ โดยเงินเฟ้อในปีนี้ที่สูงขึ้นเกิดจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นหลักซึ่งไม่สามารถควบคุมได้และสำหรับการส่งออกนั้น คาดว่า จะขยายตัวอยู่ที่ 1.2% จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ในปี 2565 นั้นคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอยู่ที่ 3.3% การส่งออกขยายตัว 8%และเงินเฟ้อขยายตัวร้อยละ 6.1 โดยมีเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยว5.4 แสนล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 11 ล้านคน
ล่าสุดนายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66กรอบวงเงินงบประมาณตามกรอบมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 จำนวน 18,700.13 ล้านบาทและมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกปทุมธานี ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุด ลดภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ โดยที่กลไกตลาดยังคงทำงานเป็นปกติ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินประกันรายได้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 โดยโอนเงินงวดที่ 1-8 ให้เกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ไปแล้วจำนวน 2.53 ล้านครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 7,254.99 ล้านบาท
สำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 3 ธันวาคมถึง 9 ธันวาคม 2565 ธ.ก.ส. จะโอนเงินส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง (งวดที่ 9 และงวดที่ 1-8 เพิ่มเติม) เข้าบัญชีเกษตรกรในวันที่15 ธันวาคม 2565 จำนวนกว่า 48,336 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 150.35 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี