นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ไตรมาส 1/2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567ว่าจีดีพีไทยไตรมาส 1 ปีนี้ขยายตัวได้ 1.5% จากปีก่อนและขยายตัว 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ สศช.ได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งปีในปี 2567 จาก 2.2-3.2% เป็นคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 2-3% จากปัจจัยสงครามการค้า และภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น
เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ขยายตัวมาจากแรงส่งของภาคของการบริโภคและการบริการเป็นหลัก โดยเฉพาะการบริโภคเอกชนที่ขยายตัว 6.9% ขณะที่ภาคการส่งออกขยายตัว 2.5% ส่วนการลงทุนรวมของประเทศในภาคเอกชนขยายตัว 4.6% อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ยังถูกกดดันจากการลงทุนของภาครัฐที่การลงทุนรวมยังลดลง 27.7% ซึ่งมาจากการล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณ
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 ด้านการใช้จ่าย เพื่อการอุปโภค-บริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน การส่งออกสินค้าและบริการรวมชะลอลง6.9% และ 2.5% ตามลำดับ ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล และการลงทุนรวม ลดลง 2.1% และ 4.2% ตามลำดับ
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค-บริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน ขยายตัว 6.9% ชะลอลงจากการขยายตัว 7.4% ในไตรมาส 4/2566 เป็นผลจากอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อรายได้ของครัวเรือน โดยการใช้จ่ายฯ ในหมวดสินค้ากึ่งคงทน สินค้าไม่คงทน และหมวดบริการขยายตัว ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล ลดลง 2.1% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 3.0% ในไตรมาส 4/2566 เป็นผลมาจากค่าซื้อสินค้าและบริการลดลง 7.6% และการโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดลดลง 10.7% ขณะที่ค่าตอบแทนแรงงาน ขยายตัว 1.9%
การลงทุนรวมลดลง 4.2% ต่อเนื่องจากการลดลง 0.4% ในไตรมาส 4/2566 โดยการลงทุนภาครัฐลดลง 27.7% ประกอบด้วยการลงทุนรัฐบาลลดลง 46.0% การลงทุนของรัฐวิสาหกิจลดลง2.8% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.6% ชะลอลงจากการขยายตัว 5.0% ในไตรมาส 4/2566
สศช.คาดว่าจะมีการปรับตัวของภาคการส่งออกดีขึ้นโดยคาดว่าการส่งออกจะบวกได้ 2% ในปีนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ซึ่งยังคงต้องทำควบคู่กับการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อการผลักดันการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนรวมคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.9% โดยเป็นการลงทุนของเอกชน 3.2% ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 3.5% และการลงทุนภาครัฐยังคาดว่าจะลดลง 1.8%
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องของการมีหนี้ครัวเรือนที่สูง ความเสี่ยงเรื่องของปัญหาอุทกภัย รวมทั้งการขนส่งสินค้าทางเรือที่ต้องเผชิญกับการขนส่งที่ยากลำบาก ทำให้ค่าระวางเรือแพงขึ้น ขณะที่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังปรับลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ตามที่หลายประเทศยังคงดอกเบี้ยระดับสูง ประกอบกับการมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย ซึ่งเหมือนกับในปี 2562 ที่มีปัญหาเรื่องของการกีดกันทางการค้าที่ทำให้มีสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทย
สำหรับประเด็นการบริหารเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ในช่วงที่เหลือควรให้ความสำคัญกับ1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมาย 2.การดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอให้กับภาคเอสเอ็มอี ซึ่งต้องทำคู่กับการแก้ปัญหาลูกหนี้เรื้อรัง ขณะที่เรื่องหนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาให้กับเศรษฐกิจไทย 3.การดูแลภาคเกษตรและรายได้ของเกษตรกร ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีต้องดูแลเรื่องของความเสี่ยงจากอุทกภัย ซึ่งควรเร่งเรื่องของประกันภัยพืชผล 4.การขับเคลื่อนการส่งออก ควบคู่กับการปรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้และส่งออกได้มากขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการพำนักของนักท่องเที่ยวในระยะยาว และ 5.รองรับและเฝ้าระวังความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่มีการทุ่มตลาดและการกีดกันทางการค้า ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี