12 พ.ค. 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้าของจีนและสหรัฐอเมริกา เป็น สัญญาณบวกต่อระบบการค้าโลกและเศรษฐกิจโลก ข้อตกลงในการลดภาษีระหว่างกันลง 115% เป็นเวลา 90 วันทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อสินค้าจีนจะลดลงเหลือเพียง 30% ขณะที่ อัตราภาษีนำเข้าของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯจะลดลงเหลือเพียง 10%
อัตราภาษีนำเข้าในระดับดังกล่าวจะทำให้การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปรกติ ส่งผลกระทบต่อปริมาณและมูลค่าการค้าต่อกันไม่มากนัก และเป็นการปรับสมดุลทางการค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า อัตราภาษีระดับดังกล่าวจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ 90 วัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 2 อันดับแรกของโลกจะไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกังวลกันหากยังคงอัตราภาษีในระดับ 10-30% ต่อไป
ปัญหาแรงกดดันเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ การขาดแคลนสินค้าในสหรัฐอเมริกาจะบรรเทาลงอย่างชัดเจน ห่วงโซ่อุปทานและเครือข่ายการผลิตของบรรษัทข้ามชาติปรับตัวในทิศทางดีขึ้น อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม งานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก และ ธนาคารโลก ล้วนบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องทางการค้ามีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมาก
“ภายใต้โครงสร้างการผลิตของโลกที่มีลักษณะเป็นห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก การขึ้นกำแพงภาษีนอกจากกระทบต่อการเติบโตของการค้า เศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม กระทบต่อผลิตภาพ รวมทั้งกดทับการสร้างมูลค่าของสินค้าและบริการต่างๆ การผ่อนคลายลงของสงครามการค้าย่อมทำให้เกิดผลบวกต่อหลายภาคเศรษฐกิจ” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการค้า (Trade Diversion) ที่ไม่ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโลกอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดการสูญเสียสวัสดิการสังคมโลกโดยรวม (Social Deadweight Loss) น่าจะบรรเทาลงจากข้อตกลงการค้าลดภาษีล่าสุด นอกจากนี้น่าจะมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกลดลงโดยเฉพาะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ การส่งออกและเศรษฐกิจไทยช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปี อาจดีกว่าคาดหากไทยสามารถเจรจาให้อัตราภาษีลดลงมาต่ำกว่า 30% หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% ย่อมไม่สามารถแข่งขันจากสินค้าจากจีนได้ การทำงานเชิงรุกเพื่อรับมือกับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา 36% เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยไม่ให้จีดีพีของไทยขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่สามารถเจรจาลดภาษีได้เลย มีโอกาสเช่นเดียวกันที่อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจติดลบเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และภาคส่งออกจะติดลบเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่า รัฐบาลไทยจะสามารถเจรจาเพื่อดึงอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 36% ลงมาให้ต่ำกว่า 30% ได้ หากลงมาอยู่ระดับ 10-15% เศรษฐกิจและภาคส่งออกไทยน่าจะยังประคับประคองไปได้ แต่ปัจจัยเสี่ยงอีกประการหนึ่งของไทย คือ เสถียรภาพของรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือทีมเจรจาในระหว่างการเจรจาอาจทำให้เกิดอุปสรรคได้
“เสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของไทย ส่วนผลกระทบภาษีนำเข้ากระทบทั่วโลก การไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา และไม่สามารถเริ่มการเจรจากับสหรัฐฯ ได้ตามกรอบเวลาเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า เม็ดเงินของกองทุนและนักลงทุนจะถูกโยกเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงินมากขึ้น กองทุนและนักลงทุนอาจลดการถือเงินสดและทองคำลงบ้าง คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะฟื้นตัวแรง ขณะที่ ราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงแรงแต่ยังไม่ใช่ขาลง ตราบเท่าที่ ความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลดอลลาร์ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯไม่เหมือนเดิม สถานการณ์สงครามการค้ายังไม่แน่นอน และ ยังมีความเสี่ยงจากสงครามในหลายพื้นที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/883586 ‘จีน-สหรัฐฯ’พักรบ‘ศึกกำแพงภาษี’ชั่วคราว90วัน ลดอัตราจัดเก็บมากกว่า100%
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี