25 พ.ค. 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ไม่มีความคืบหน้า ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอียู 50% โดยมีกำหนดเริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายน ศกนี้
การเก็บภาษีในระดับ 50% ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบการค้าโลกและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯและอียูอย่างมาก ขณะที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯและอียูมีมูลค่าสูงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี มูลค่าการค้าในระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ได้รับผลกระทบนี้ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสต่อการส่งออกสินค้าของไทย
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าจะมีการเร่งรีบเจรจาก่อนที่จะเป็นการปรับเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้า ตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงมาก็จะฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง และมีข้อสงสัยมากขึ้นว่า การพลิกกลับไปมาและความไม่คงเส้นคงวาของนโยบายภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์อาจเป็นวิธีการแสวงหากำไรจากการสวิงขึ้นลงของราคาหุ้นที่เข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายใน (Inside Information) ของกลุ่มผลประโยชน์เครือข่ายผู้มีอำนาจ
“กรณีของอียูทำให้เห็นชัดเจนว่า การผนึกกำลังของภูมิภาคย่อมสร้างอำนาจต่อรองกับสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าและไม่ตกเป็นเบี้ยล่างในการเจรจา การผนึกกำลังกับประเทศอาเซียนเพื่อไปเจรจาต่อรองร่วมกันจะเพิ่มอำนาจต่อรองให้ประเทศไทย ผู้นำอาเซียนต้องหารือกัน หากแต่ละประเทศเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลยและอาจต้องทำตามผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจตามที่สหรัฐฯต้องการเป็นหลัก” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า การลดอัตราภาษีให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ การเปิดตลาดและการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเป็นกลยุทธการเจรจาที่ทุกประเทศน่าจะนำมาใช้เช่นเดียวกัน หากกลยุทธ์เหล่านี้ทำในนามของ “อาเซียน” ย่อมมีพลังมากกว่า การไปเจรจาแบบทวิภาคี การแลกได้แลกเสีย (Trade Off) ในการเจรจาการค้าล้วนเกี่ยวพันกับมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ประเด็นเศรษฐกิจล้วนๆ
อย่างประเด็น Market Access ที่กลุ่มทุนบริการของสหรัฐฯต้องการให้เกิดขึ้น กลุ่มทุนบริการของไทยที่มีอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดภายในย่อมต่อต้านไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงและต้องการรักษาอำนาจผูกขาดไว้ต่อไป ไม่ว่า จะเป็น ธุรกิจอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ธุรกิจอุตสาหกรรมการเงิน เป็นต้น หรือ ประเด็นภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในภาคเกษตรกรรมของไทย หากอียูถูกเก็บภาษี 50% จากสหรัฐฯ และ อียูตอบโต้ ไทยอาจได้ส่วนแบ่งตลาดจากอียูเพิ่มในสินค้าบางประเภท ขณะที่สินค้าจากอียูมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ได้ในบางกลุ่ม
“เช่น อาหารแปรรูป เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ มีโอกาสขยายตลาดในอียู หากอียูตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการลดพึ่งพาสินค้าสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ในบางกลุ่มสินค้า เช่น สินค้าเกษตร อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีการย้ายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น บริษัทอียูหรือต่างชาติอาจย้ายฐานการผลิตมายังไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ไทยจึงควรเร่งทำข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูเพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้อาจจบลงที่ปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่า ถึงที่สุดแล้ว สหรัฐอเมริกาอาจใช้กลยุทธ์ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อปรับสมดุลทางการค้าและลดการขาดดุลจำนวนมาก การทำให้ “ดอลลาร์” อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจะทำให้สหรัฐฯสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในมิติราคาได้ สหรัฐอเมริกาเคยใช้วิธีนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วผ่านข้อตกลง Plaza Accord
โดย ญี่ปุ่น เยอรมัน สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศส ได้ปล่อยให้ค่าเงินของตัวเองแข็งค่าขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานและการเกินดุลการค้า และ แทรกแซงค่าเงินให้เงินสกุลของตัวเองแข็งค่าขึ้นนั่นเอง การแทรกแซงค่าเงินอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและเงินสกุลหลักอื่นๆแข็งค่าขึ้นได้แต่จะมีผลในระยะสั้นเท่านั้น หากไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตลาดและอุปสงค์ของเงินดอลลาร์ในตลาดปริวรรตเงินตราโลก การที่ “ดอลลาร์สหรัฐ” และ “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ” ยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆอยู่
โดย “ดอลลาร์สหรัฐ” อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆประมาณ 58-60% อุปสงค์เหล่านี้กดดันให้ “เงินดอลลาร์” แข็งค่าแม้นสถานะดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มเปลี่ยนไปแล้วจาก หนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ การถูกลดอันดับเครดิต มีการเทขายดอลลาร์และพันธบัตร ของ ธนาคารกลางหลายประเทศ มีการเสนอแนวคิด Mar-a-Lago Accord
โดยกลุ่มที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์เสนอให้ประเทศต่างๆ ถือ พันธบัตรระยะยาวพิเศษชนิดไม่มีดอกเบี้ย (Zero Coupon Century Bond) แทน ดอลลาร์สหรัฐฯ และ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯชนิดมีดอกเบี้ย เป็นการจัดระเบียบการเงินโลกใหม่ มีเป้าหมายลดการขาดดุลการค้า เพิ่มความสามรถการแข่งขันภาคส่งออกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ พร้อมกับยังคงรักษาบทบาทดอลลาร์สหรัฐฯในฐานะเงินสกุลหลักของโลก
กลไกนี้จะช่วยทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและลดความต้องการดอลลาร์ระยะสั้น และทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯถ่ายโอนความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยไปให้กับนักลงทุนและรัฐบาลประเทศต่างๆแทน ต้นทุนดอกเบี้ยและหนี้สาธารณะลดลงอย่างมาก โดยการนำเสนอให้ประเทศต่างๆถือพันธบัตรระยะยาวพิเศษชนิดไม่มีดอกเบี้ยนั้น รัฐบาลทรัมป์น่าจะเอาเรื่องการเปิดตลาด การสนับสนุนทางด้านความมั่นคง กำแพงภาษีนำเข้ามาเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวและบีบให้ดำเนินการตามต้องการ
การปฏิบัติตามแนวคิด Mar-a-Lago Accord อาจไม่ง่ายเหมือน Plaza Accord ปี ค.ศ. 1985 แต่แนวคิดนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางจุดยืนเกี่ยวกับ บทบาทของดอลลาร์ในระบบการเงินโลก ทำให้ ความผันผวนของเงินดอลลาร์สหรัฐฯและความเสี่ยงด้านมูลค่าของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง ดอลลาร์อ่อนค่าลงจะทำให้ประเทศที่ถือเงินดอลลาร์จำนวนมากในทุนสำรองระหว่างประเทศอาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากได้
ทั้งนี้ มีโอกาสที่เงินบาทแข็งแตะ 31-32 บาทต่อดอลลาร์อันเป็นผลจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ ความพยายามในการผลักดันกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจำนวนมากของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้ฐานะการคลังและหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง ส่งผลกดดันต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody จะยังส่งผลกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์และการปรับเพิ่มขึ้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯไปอีกระยะหนึ่ง
“คาดการณ์ว่า ตัวเลขส่งออกเดือนเมษายนของไทยจะยังขยายตัวเป็นบวกและดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลต่อเนื่อง ประกอบกับการมีเงินทุนระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นแม้นขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะชะลอตัวลงก็ตาม” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวในตอนท้าย
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี