นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุนเซ็ฯ อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา และประธานวุฒิสภากัมพูชาซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย และมีผลทำให้พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนั้น เรื่องดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาจากภายในประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งปัจจัยดังกล่าวอยู่นอกเหนือที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
นายเกรียงไกร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลของการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีจะมีออกมาเป็นอย่างไร เป็นไปในทิศทางที่ดีหรือไม่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อบ้าน หรือคู่แข่ง หากผลออกมาไทยเสียเปรียบจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจภายรวมช่วงครึ่งหลังของปี 68
“ การที่พรรคภูมิใจไทยประกาศลาออกก็สอดคล้องกับปัญหาที่มีอยู่ตั้งแต่เรื่องของตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย โดยพรรคภูมิใจไทยถือเป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส. มาก เพราะฉะนั้นต้องคอยดูว่ารัฐบาลจะมีพรรคร่วมหรือจำนวนเสียงของพรรคจะเป็นอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ขณะนี้น่ากังวลมากขึ้น เนื่องจากประเด็นที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภาคเอกชนก็คงต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า เสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร จะมีจำนวนพรรคร่วมเท่าไหร่ และทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไร”นายเกรียงไกรกล่าว
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยยอมรับว่ากระทบต่อเสถียรภาพการเมืองของไทย สิ่งที่ภาคเอกชนมองคือต้องรีบจบโดยเร็วและให้มีความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปแบบใด และเป็นที่ยอมรับได้ทั้งภาคประชาชนภาคสังคมและต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นปัญหาเรายังจะมีอยู่
ในขณะนี้มองว่าตามรัฐธรรมนูญมี 2 ทางเลือก หากนายกรัฐมนตรีลาออก ครม.จะไปทั้งชุด ปัญหาก็คือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการเจรจากับสหรัฐ จะดำเนินการยังไง หากต้องรอจัดตั้งคณะเจรจาใหม่ก็ยังไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ ซึ่งหากจบช้ากว่าที่จะครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 8 กรกฎาคมของสหรัฐ หรือวันที่ 9 กรกฎาคม ตามเวลาในประเทศไทย ก็จะเหนื่อย ส่วนอีกทางเลือก คือหากยุบสภา ครม. ยังเป็น ครม.รักษาการ จนกว่าจะเลือกตั้งใหม่ ยังคงทำงานได้ ส่วนตำแหน่งนายกฯ รักษาการต้องแล้วแต่การตัดสินใจ
ทั้งนี้สิ่งที่กังวลคือ รัฐจะใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทอย่างไร รวมถึงการส่งออก แม้กระทรวงพาณิชย์จะแถลงตัวเลขขยายตัวในเดือนพฤษภาคม แต่นั่นเป็นเพราะมีการเร่งส่งออก แต่สำหรับเดือนมิถุนายน เท่าที่ทราบข้อมูลจากผู้ประกอบการพบว่าตั้งแต่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้หยุดการส่งสินค้าออกไปสหรัฐเพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเสียอัตราภาษีเท่าไหร่
“ ยอมรับว่า ไทยอยู่ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ ทั้งความขัดแย้งสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น แต่ปัจจัยที่กังวลมากที่สุดในขณะนี้คือเสถียรภาพทางการเมืองไทย ที่มองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ต้องการให้เกิดความชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเสียหาย และหากไม่จบเร็วมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้น “ นายพจน์กล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังแข็งแกร่ง คาดว่าไตรมาสสองยังมีผลการดำเนินงานที่ดี แม้ว่าราคาหมูจะอ่อนลงตามฤดูกาลที่เข้าหน้าฝน แต่ก็ยังอยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าที่บริษัทเคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ และการดำเนินงานในต่างประเทศ ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย และบางประเทศดีเกินกว่าที่คาดไว้ เหตุการณ์ในประเทศเวียดนามได้คลี่คลายลงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในส่วนของความไม่เข้าใจกันระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทยนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบกับผลการดำเนินงานในประเทศกัมพูชาของบริษัทแต่อย่างใด และบริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภาวะดัชนีซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,094.58 จุด ก่อนปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,076.00 จุด ปรับลดลง 18.58 จุด หรือลบ 1.70% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,085.71 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,068.37 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 25,891.35 ล้านบาท หลังจากเปิดทำการซื้อขายในช่วงบ่ายดัชนีหุ้นไทยก็ยังเคลื่อนไหวในแดนลบ และมาปิดตลาดของวันที่ 1,068.78 จุด ลดลง 25.85 จุด มูลค่าซื้อขาย 46,634 ล้านบาท
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดการซื้อขายภาคเช้า โดยปรับตัวลงแรงต่ำสุดประมาณ 26 จุด ก่อนลดช่วงลบลงแต่ยังปิดตลาดด้วยการปรับลดกว่า 18.58 จุด สาเหตุเนื่องจากได้รับแรงกดดันความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะความไม่เชื่อมั่นของรัฐบาล หลังจากมีคลิปเสียงพูดคุยแบบไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฮุน เซน แห่งกัมพูชา ประกอบกับความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงมีแรงขายหลักในหุ้นกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และไอซีทีออกมากดดันดัชนีรวม
“แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในระยะถัดไป ประเมินภาพว่าคงปรับตัวลงต่อเนื่อง กดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ มองกรอบดัชนีภาคบ่าย 1,070-1,085 จุด รวมถึงมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตามอง ซึ่งเป็นเรื่องในประเทศเป็นหลัก อาทิ การเคลื่อนไหวของภาวะค่าเงินบาท วิกฤตการเมืองไทย แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เชิญชวนประชาชนออกมาร่วมชุมนุมขับไล่นายกฯ ขึ้นเวทีปราศรัยโหมโรงรอมวลชนทยอยรวมตัวบุกทำเนียบรัฐบาล” นางสาววิลาสินี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี