นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 บีโอไอได้พบหารือกับนายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และ Chief Representative for ASEAN และนายซาโต้ ฮิโรยาสุ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย (JCC) พร้อมคณะผู้บริหารเจโทรและหอการค้าญี่ปุ่น โดย JETROและ JCC ได้นำเสนอผลสำรวจนักลงทุนญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ขณะที่บีโอไอได้นำเสนอความคืบหน้าของนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบการให้บริการและการอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น
ทั้งนี้จากผลการสำรวจล่าสุดของ JETRO-JCC จะเห็นว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในทิศทางที่ดีขึ้น และยังให้ความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจได้ปรับตัวดีขึ้นจาก -11 ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มาอยู่ที่ -7 ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 และคาดว่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ -2 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สะท้อนถึงสัญญาณฟื้นตัว แม้ยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท โดยบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากยังสนใจลงทุนต่อเนื่องในไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาหลัก คือ ยานยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหาร และผลิตภัณฑ์โลหะ นอกจากนี้ ยังจะมีการลงทุนในสาขาอื่น ๆ ด้วย เช่น สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ดิจิทัล ธุรกิจบริการ รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนของกลุ่มสตาร์ตอัป และการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
อย่างไรก็ตามการประชุมกับกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการหารือต่อเนื่องจากการประชุมร่วมกับสถานทูตญี่ปุ่น เจโทร และหอการค้าญี่ปุ่นภายใต้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น ว่าด้วยการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ตามข้อตกลงการค้าไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งบีโอไอเป็นหน่วยงานหลักที่ได้จัดงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ โดยญี่ปุ่นได้ชื่นชมการทำงานของภาครัฐไทยในการอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ เช่น การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ของบีโอไอ การพัฒนาระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-tax) ของกระทรวงการคลัง การขยายบริการใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-work permit) ของกรมการจัดหางาน การเร่งรัดการจดสิทธิบัตรต่าง ๆ ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
“ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยมายาวนาน ถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญและมีการลงทุนสะสมสูงที่สุดใน
ประเทศไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในโลกการค้ายุคใหม่ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บีโอไอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นในหลายด้าน เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยสามารถปรับตัวกับความท้าทายใหม่ ๆ และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น มาตรการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ มาตรการส่งเสริมกลุ่มรถยนต์ไฮบริด มาตรการส่งเสริมการใช้Local Content สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า การจัดตั้งศูนย์ Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) ซึ่งเป็นวันสต็อปเซอร์วิสแห่งใหม่ การเตรียมกลไกพลังงานสะอาดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการ Go Green และล่าสุดได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการย้ายเครื่องจักรจากกัมพูชามาที่ไทย ซึ่งจะช่วยบริษัทญี่ปุ่นหลายรายที่มีฐานการผลิตเชื่อมโยงสองประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง” นายนฤตม์ กล่าว
นายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ ย้ำว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเจโทรจะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย–ญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น ให้ทำงานร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและกิจกรรมอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนระหว่างสองประเทศ
สำหรับการลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558 - มิถุนายน 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,620 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 7 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ตามลำดับ
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี