นายดนุชา พิชยนันท์  เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์เปิดเผยว่าสถานการณ์การจ้างงานลดลงต่อเนื่องโดยในไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ผู้มีงานทำ 39.4 ล้านคนลดลงจากไตรมาสหนึ่งของปี2567ประมาณ0.5% จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมลดลง3.1% แต่นอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น0.5%โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคารยังคงขยายตัว3.5%สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้าขยายตัว4.5% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิตเริ่มหดตัวลง0.4%

ภาพรวมชั่วโมงการทำงานของแรงงานลดลงอยู่ที่ 40.8ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง5.0%ผู้ทำงานต่างระดับลดลง 7.9 %อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 0.88% จากไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ที่อยู่ที่1.01% ซึ่งมีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาวที่ลดลง14.3%หรือมี6.8 หมื่นคน กลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนกว่า 74.3% ว่างงานเพราะหางานไม่ได้ ผู้เสมือนว่างงานมีกว่า 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง14.6%

ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญได้แก่ 1) การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs โดยธนาคารโลกระบุว่าธุรกิจในไทยใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่างๆในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอาจเป็นสาเหตุให้ปิดกิจการจึงควรส่งเสริมให้SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มโอกาสการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้

2) การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำผิดแต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจากต่างประเทศจึงควรกำหนดมาตรการให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น

3) เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงานผลสำรวจพบว่าผู้บริหารกว่า89%มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่เพราะมองว่าขาดประสบการณ์มีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนักและเลือกที่จะจ้างฟรีแลนซ์/พนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทนหรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง เด็กจบใหม่จึงควรเตรียมความพร้อมทั้งทักษะและทัศนคติขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน