นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือน ก.ค 68 มีทั้งสิ้น 110,616 คัน ลดลงจากเดือนมิ.ย. 68 ร้อยละ 15.06 และลดลงจากเดือน ก.ค. 67 ร้อยละ 11.39 ผลิตลดลงค่อนข้างมากโดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันซึ่งลดลงร้อยละ 31.80 จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงทั้งผลิตขายในประเทศและผลิตส่งออกที่ลดลงร้อยละ 6.54 และ 8.61 ตามลำดับตามยอดขายในประเทศและยอดส่งออกที่ลดลงจากความไม่แน่นอนในการค้าโลก ส่งผลให้7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68)ผลิตได้ 835,331 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 5.73

โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเดือน ก.ค. 68 ผลิตได้ 74,100 คัน เท่ากับร้อยละ 66.99 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือน ก.ค. 67 ร้อยละ 15.35 ส่งผลให้ 7 เดือนของปีนี้(ม.ค.-ก.ค.68) ผลิตเพื่อส่งออกได้ 549,113 คัน เท่ากับร้อยละ 65.74 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.05 ส่วนผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือน ก.ค. 68 ผลิตได้ 36,516 คัน เท่ากับร้อยละ 33.01 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือน ก.ค. 67 ร้อยละ 2.08 ส่งผลให้ 7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68) ผลิตได้ 286,218 คัน เท่ากับร้อยละ 34.26 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.37

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน ก.ค. 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,102 คัน ลดลงจากเดือนมิ.ย. 68 ร้อยละ 1.95 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค. 67 ร้อยละ 5.84 เพิ่มขึ้นติดต่อกันสี่เดือนเพราะยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องมากว่าสามสิบเดือนเหลือแค่ 11,022 คัน ลดลงร้อยละ 16.3 ( ปี 2562 ก่อนโควิด 19 รถกระบะขายในประเทศเฉลี่ยเดือนละ 35,973 คัน เท่ากับ 35.70 % ของยอดขายรวม 1,007,552 คัน) เพราะความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำร้อยละ 2.8 ในไตรมาส 2/2568

รวมทั้ง การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ร้อยละ 4.1 สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ร้อยละ 1.7 นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตเพียงร้อยละ 2.1 คงต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนต่อไป คาดหวังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน ส่งผลให้ 7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.68) รถยนต์มียอดขาย 351,796 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 0.74

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือน ก.ค. 68 ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 17.76 และลดลงจากเดือน ก.ค. 67 ร้อยละ 13.27 จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพราะจะเปลี่ยนรุ่นรถ รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ายังส่งออกอีกในเดือนนี้ 167 คัน ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าดังที่รัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ใช้น้ำมันและยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบายและความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ 7 เดือนของปีนี้(ม.ค.-ก.ค.68) ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 531,796 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.74

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือน ก.ค. 68 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค.ปีที่แล้วร้อยละ 45.51 ส่งผลให้ 7 เดือนปีนี้(ม.ค.-ก.ค.68)มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 81,179 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 35.08 ทั้งนี้ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 ก.ค. 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 307,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 60.61

- 030