รายงานพิเศษ :  มาตรฐาน มอก.เหล็กเส้น..สำคัญสุดคือคุณภาพ เพราะเหล็กเตา IF..คือจุดเปราะบางต่อความปลอดภัยของคนไทย

รายงานพิเศษ : มาตรฐาน มอก.เหล็กเส้น..สำคัญสุดคือคุณภาพ เพราะเหล็กเตา IF..คือจุดเปราะบางต่อความปลอดภัยของคนไทย

วันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

** การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้น 2 ฉบับ คือ มอก. 20-2543 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม และ มอก. 24-2548 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย...ประเด็นที่สำคัญสูงสุดคือมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การกำหนดมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงมาตรการควบคุมการผลิตเหล็กเส้นให้เป็นไปตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

ปัจจุบันมีการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศประมาณปีละ 3 ล้านตัน ตัวอย่างในปี 2567 มีการผลิตจากการหลอมเศษเหล็กแล้วหล่อเป็นแท่งบิลเล็ตด้วยเตา Electric Arc Furnace (EAF) ประมาณ 1.2 ล้านตัน ผลิตด้วยเตา Induction Furnace (IF)  ประมาณ 1.6 ล้านตัน และนำเข้าบิลเล็ตมารีดเป็นเหล็กเส้นอีกประมาณ 0.3 ล้านตัน


ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดประเด็นปัญหาคุณภาพกับเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา IF เนื่องจากการที่จะผลิตเหล็กเส้นให้ได้มาตรฐานด้วยกระบวนการ IF ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากในการคัดเลือกวัตถุดิบเศษเหล็กที่มีความสะอาด ไม่มีสารมลทินและสิ่งเจือปนที่มากเกินไป เนื่องจากข้อจำกัดของ IF ในการกำจัดสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน ตลอดจนธาตุที่ต้องควบคุมปริมาณให้ได้ตาม มอก. เช่น ธาตุโบรอน เป็นต้น นอกจากนี้เนื่องจากส่วนประกอบทางเคมีจะเป็นปัจจัยหลักต่อคุณสมบัติทางกล หากไม่สามารถควบคุมส่วนประกอบทางเคมีให้สม่ำเสมอตามค่าที่เหมาะสม ก็จะส่งผลให้ตกมาตรฐานคุณสมบัติทางกลได้ สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งในกระบวนการถลุงเหล็ก (smelting) จากแร่เหล็ก ในขั้นตอน Basic Oxygen Furnace (BOF) กับกระบวนการ EAF คือการใช้ออกซิเจนเป่าไล่สารมลทินที่จับตัวกับออกซิเจนได้ เช่น ฟอสฟอรัส สำหรับกระบวนการ EAF นั้น นอกเหนือจากการใช้ออกซิเจนในการหลอมเหล็ก ยังมีการสร้างชั้นของ สแลก (slag) หลอมเหลวสำหรับดูดซับสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัสและกำมะถัน สิ่งสกปรกและสิ่งเจือปน (Inclusions) ต่างๆ การเป่าออกซิเจนจะช่วยสร้างสภาพการกวนวน (Agitation) ในน้ำเหล็กอย่างทั่วถึง ทำให้สามารถปรุงแต่งและควบคุมองค์ประกอบทางเคมีรวมถึงความสะอาดสม่ำเสมอของเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับ IF เป็นกระบวนการหลอม (melting) ด้วยการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าเท่านั้น ไม่มีการใช้ออกซิเจน ไม่มีการสร้างชั้นของสแลก จึงไม่สามารถกำจัดหรือดูดซับสารมลทินที่อยู่ในเศษเหล็กและวัตถุดิบ เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน และธาตุอื่นที่เจือปนอยู่ในเศษเหล็ก เช่น โบรอน เป็นต้น จึงต้องคัดเลือกเศษเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และ เตรียมเศษเหล็กที่สะอาดและต้องมีการเติมส่วนผสมทางเคมีด้วยธาตุต่างๆลงไปในกระบวนการหลอมอย่างแม่นยำ เพื่อที่จะหลอมเหล็กหรือโลหะให้เป็นไปตามข้อกำหนด จึงเหมาะกับใช้กับงาน เหล็กหล่อ เหล็กพิเศษ เหล็กกล้าไร้สนิม และโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น ทองแดง ทองเหลือง อลูมิเนียม และด้วยลักษณะการหลอมแบบเหนี่ยวนำด้วยไฟฟ้าที่มีการกวนวน (Agitation)ต่ำ ทำให้ควบคุมความสม่ำเสมอของเนื้อเหล็กได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณการผลิตต่อครั้งไว้ โดยมักไม่เกิน 30 ตัน และจะต้องมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กในเตาปรุง เช่น Ladle Furnace (LF) อีกขั้นตอนหนึ่ง

ประเด็นสำคัญตรงจุดนี้คือประเทศไทยขาดวัตถุดิบจากการถลุงเหล็ก และขาดแคลนเศษเหล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศษเหล็กคุณภาพดี จึงต้องนำเข้าเศษเหล็กประมาณ 20-25% หรือ 1.2-1.5 ล้านตันต่อปี จากความต้องการทั้งหมด 6 ล้านตันต่อปี ดังนั้นการคัดเลือกเศษเหล็กคุณภาพดีทั้งในทางปฏิบัติและความคุ้มค่าทางธุรกิจจึงเป็นไปได้ยากมาก

ประเทศจีนซึ่งเคยมีการการผลิตเหล็กเส้นด้วยกระบวนการ IF มากที่สุดในโลกคือปีละกว่า 120 ล้านตัน ได้ประสบปัญหาอย่างยาวนานกับเหล็กเส้นคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานจากเตา IF จนในที่สุดรัฐบาลจีนได้สั่งยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างด้วยเตา IF ทั้งหมดของประเทศจีนในเดือนมิถุนายน 2560 (2017)

สิ่งที่อยากจะยกมายืนยันเหตุผลของจีนที่ยกเลิกกระบวนผลิตเหล็กด้วยเตา IF นั้น ก็จะขอรวบรวมมาจากการบทความและข่าวสารต่างๆของประเทศจีน โดย Xinhua News Agency 30 June 2017 หัวข้อ “Deadline has come! My country has banned and shut down more than 600 “illegal steel" enterprises” ประเด็นสำคัญจากบทความนี้คือ “30 มิถุนายน 2560 (2017) ประเทศของเราได้สั่งห้ามและปิดโรงงาน strip steel มากกว่า 600 บริษัท ด้วยกำลังการผลิตรวมประมาณ 120 ล้านตัน” …“Strip Steel คือเหล็กด้อยคุณภาพหรือคุณภาพต่ำผลิตจากวัตถุดิบเศษเหล็ก หลอมในเตา induction furnace เนื่องจากขาดการกระบวนการ oxidation และการที่ไม่สามารถผลิตให้มีส่วนประกอบและการควบคุมคุณภาพที่มีประสิทธิผลได้ ความเหนียวและความต้านแรงดึงของเหล็กเส้นจะไม่ได้มาตรฐาน ถ้าใช้ในการก่อสร้างจะเป็นความเสี่ยงอันตรายด้านคุณภาพที่ร้ายแรง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ของการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น อาคารถล่มและสะพานถล่มในประเทศของเรามีความเกี่ยวข้องกับ strip steel”

จากบทความ People’s Daily News 11 October 2017 หัวข้อ “Farewell, Strip Steel” ประเด็นสำคัญคือ “Strip Steel คือเหล็กด้อยคุณภาพหรือคุณภาพต่ำผลิตจากวัตถุดิบเศษเหล็ก หลอมในเตา induction furnace ไม่สามารถผลิตให้มีส่วนประกอบและการควบคุมคุณภาพที่มีประสิทธิผลได้ โดยหลักเป็นเหล็กเส้นที่ใช้ในการก่อสร้างจะเป็นความเสี่ยงอันตรายด้านคุณภาพที่ร้ายแรง” “โรงงานประเภท strip steel มักจะมีเครื่องจักรที่สภาพไม่ดี ไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดมลภาวะ ใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลือง 600-700 kWh ต่อตัน”…“ปี 2005 National Development and Reform Commission ออกนโยบายที่ระบุว่าการผลิต strip steel และเหล็กแท่งทั้ง ingot และ billet ควรต้องถูกยกเลิก”…“ต้นปี 2016 State Council ย้ำว่าการผลิต strip steel ทั้งหมดต้องถูกยกเลิก และลงโทษผู้ฝ่าฝืนตามตัวบทกฎหมาย”…“ต้นทุนของการรักษาสิ่งแวดล้อมของโรงงานเหล็กสูงถึง 120-200 หยวนต่อตัน โรงงาน strip steel ที่ไม่รักษาสิ่งแวดล้อมจึงมีต้นทุนต่ำกว่า ขายราคาต่ำกว่า จึงมี competitiveness มากกว่า”

จากบทความ China Iron and Steel News Network 31 December 2017 หัวข้อ “The Destruction of "Underground Steel” สรุปประเด็นได้ว่า “ธันวาคม 2542 (1999) State Economic and Trade Commission ออกแผนสำหรับการยกเลิก กำลังการผลิต กระบวนการ และผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัย โดยระบุว่าจะกำจัด strip steel ภายในปี 2000”…“ต้องใช้ความพยายามถึง 18 ปี จึงสามารถบรรลุตามแผน โดย 17 มกราคม 2560 (2017) National Development and Reform Commission ได้สั่งยุติการผลิต strip steel ทั้งหมดภายใน 30 มิถุนายน 2560 (2017) ”…“Strip steel ขาดส่วนประกอบและการควบคุมคุณภาพที่มีประสิทธิผล จึงมีคุณภาพด้อยกว่ามาตรฐาน การผลิตเหล็กต้องการการถลุง (smelting) ไม่ใช่เพียงเอามาหลอม (melting) อย่างง่ายๆ และ `induction furnace คือการหลอมอย่างง่าย ปรับส่วนประกอบทางเคมีได้น้อยมาก ไม่สามารถประกันคุณภาพได้ strip steel จำนวนมากไม่ได้มาตรฐานและกระจายท่วมในตลาด เปรียบเสมือนการวางระเบิดไว้ในสังคมซึ่งอาจจะเกิดระเบิดเมื่อไรก็ได้ และด้วยเหตุที่ผลิตอย่างง่าย ต้นทุนต่ำ strip steel จึงท่วมตลาด และ บีบจนมีพื้นที่เหลือน้อยสำหรับสินค้าคุณภาพมาตรฐาน และ ทำลายการแข่งขันในระบบตลาดอย่างรุนแรง”

โดยสรุป เหตุผลหลักประเทศจีนยกเลิกและสั่งห้ามการผลิตเหล็กจาก induction furnace หรือ strip steel คือ ความเสี่ยงอันตรายด้านคุณภาพที่ร้ายแรง สำหรับเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและกำลังผลิตส่วนเกิน เป็นผลจากการที่โรงงาน strip steel ไม่มีต้นทุนในการรักษาคุณภาพ และ สิ่งแวดล้อม จึงมีต้นทุนต่ำกว่า ขายราคาต่ำกว่า และ ทำลายการแข่งขันในระบบตลาดทำให้สินค้าที่ได้มาตรฐาน แข่งขันไม่ได้

อีกหนึ่งข้อมูลสำคัญที่”รายงานพิเศษ”ฉบับนี้ต้องการหยิบมานำเสนอคือ ข้อ “เปรียบเทียบพัฒนาการมาตรฐานเหล็กเส้นของประเทศจีนกับมาตรฐานเหล็กเส้นของประเทศไทย ”...โดยพัฒนาการยกระดับมาตรฐานเหล็กเส้นของประเทศจีน นั้น 1.ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1999 รัฐบาลจีนเริ่มตระหนักถึงปัญหาเหล็กไม่ได้มาตรฐานและเริ่มดำริที่จะยกเลิกการผลิตเหล็กเส้นจากเตา IF ซึ่งในขณะนั้นมาตรฐานเหล็กเส้นของจีน เป็นมาตรฐานฉบับปี 1998…2.มาตรฐานจีน (2007) Steel for Reinforcement of Concrete, GB 1499.2-2007 มีการปรับปรุงเพิ่มเหล็กเกรดที่มีความแข็งแรงสูงขึ้น แต่ยังไม่กำหนดกรรมวิธีการผลิตเหล็กเส้นก่อสร้าง...3.ต่อมาเมื่อประเทศจีนห้ามการผลิตเหล็กเส้นจากเตา IF ทั้งหมดในเดือนมิถุนายน 2017 ก็ได้แก้ไขมาตรฐานเหล็กเส้น เป็น มาตรฐานจีน (2018) Steel for Reinforcement of Concrete, GB 1499.2-2018 โดยกำหนดว่ากรรมวิธีการผลิต (Smelting Method) เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ต้องมาจากเตา converter หรือ Electric Arc Furnace เท่านั้น...4.ปัจจุบันมาตรฐานจีน (2024) Steel for Reinforcement of Concrete, GB 1499.2-2024 ยกระดับเป็นมาตรฐานบังคับ โดยการกำหนดกรรมวิธีการผลิต เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ต้องมาจากเตา Converter หรือ Electric Arc Furnace ยังคงไว้เช่นเดิม และมีการเพิ่มเติม การผลิตเหล็ก เกรดที่แข็งแรงและยืดตัวได้ดี (เช่น HRB 500E, HRBF500E, E:Earthquake) ที่สำคัญมาตรฐานจีนล่าสุดกำหนดคุณสมบัติเหล็กเส้นไว้ในลักษณะที่ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการเพิ่มความแข็งแรงของเหล็กเส้นแบบ Tempcore ได้อีก

ขณะที่ พัฒนาการในมาตรฐานเหล็กเส้นของประเทศไทย คือ 1.มอก. 20-2543 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม และ มอก. 24-2548 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย กำหนดขอบข่าย (1.2) เหล็กเส้นกลมต้องทำขึ้นจากเหล็กแท่งเล็ก (billet) เหล็กแท่งใหญ่ (bloom) หรือเหล็กแท่งหล่อ (ingot) โดยตรงด้วยกรรมวิธีการรีดร้อน โดยต้องไม่มีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่นมาก่อน และเหล็กแท่งดังกล่าวต้องทำมาจากกรรมวิธีโอเพนฮาร์ท (open hearth) เบสิกออกซิเจน (basic oxygen) หรือ อิเล็กทริกอาร์กเฟอร์เนซ (electric arc furnace) (หมายเหตุ: เตาเบสิกออกซิเจน (basic oxygen) ก็คือ เตา converter)  2.ปี 2559 แก้ไข เป็น มอก. 20-2559 เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม และ แก้ไขแป็น มอก. 24-2559* เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กข้ออ้อย และประเด็นคือ ยกเลิก “ขอบข่าย” ข้อ 1.2 เพื่อเปิดกว้างสำหรับกรรมวิธีการผลิต “เพิ่ม กรรมวิธี IF” และ “กรรมวิธีอื่นๆให้ระบุตามที่ตกลงในเอกสารของผู้ทำ” แต่มีข้อกำหนดเพิ่มเติม

ข้อกำหนดเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ ข้อ 5.2 - ข้อ 5.5  โดย ข้อ 5.2 การทำเหล็กแท่งเล็ก หรือเหล็กแท่งใหญ่ ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย ต้องมีขั้นตอนกรรมวิธีการทำและการควบคุมเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 1.มีระบบคัดแยก ตรวจสอบประเมินคุณภาพเศษเหล็ก (scrap) โดยมีการตรวจสอบควบคุมปริมาณของธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันที่เจือปนอย่างเข้มงวด 2.มีการตรวจสอบคุณภาพส่วนประกอบทางเคมีของน้ำเหล็กในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำเหล็กกล้า (steel making) โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบที่มีมาตรฐาน 3.มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) หรือการลดฟอสฟอรัส และการลดกำมะถันรวมทั้งปรับแต่งค่าส่วนประกอบทางเคมี ขจัดสารฝังใน (inclusion)ได้อย่างเหมาะสม 4.การหล่อเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ต้องเป็นการหล่อแบบต่อเนื่อง (continuous casting) ที่มีอัตราการหล่ออย่างน้อย 10,000 kg/hr และมีการควบคุมอัตราการเย็นตัว (cooling rate) ที่เหมาะสม มีขนาดของเตาหลอมไม่ต่ำกว่า 5,000 kg ต่อ 1 เตา และมีความถี่ในการทดสอบส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม

ข้อ 5.3 โรงงานที่ทำเหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ และเหล็กข้ออ้อย ต้องมีมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี ข้อ 5.4 เหล็กแท่งเล็ก หรือ เหล็กแท่งใหญ่ ที่ใช้ทำเหล็กข้ออ้อย อย่างน้อยต้องมีการตรวจสอบในรายการขนาด ลักษณะทั่วไป และ ส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม ข้อ 5.5 เหล็กข้ออ้อยต้องเป็นเหล็กกล้าไม่เจือฯ

โดยสรุปแล้ว ประเทศไทยแม้จะมีการเพิ่มข้อกำหนดเพื่อป้องกันปัญหาด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อมจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ข้อกำหนดเหล่านี้บางส่วนคลุมเครือและกำกับดูแลได้ยากมาก ตัวอย่างเช่น ‘การกำหนดให้มีกระบวนการทำน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์ (refining process) อย่างเหมาะสม เช่น มีเตาปรุง (ladle furnace) หรือการลดฟอสฟอรัส และการลดกำมะถันรวมทั้งปรับแต่งค่าส่วนประกอบทางเคมี ขจัดสารฝังใน (inclusion)ได้อย่างเหมาะสม’ นั้น ในทางปฏิบัติ โรงงาน IF ที่ผลิตเหล็กเส้นในประเทศไทยจำนวนประมาณ 10 โรงงาน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ติดตั้งเตาปรุง Ladle Furnace

ขณะนี้ร่าง มอก.เหล็กเส้นก่อสร้าง อยู่ระหว่างการทบทวน จึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่พบอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันปัญหาในอนาคต เช่น กำหนดคุณสมบัติของเหล็กเส้นให้มีความครอบคลุมเพียงพอที่จะตอบสนองกฎหมายอื่น เช่น มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 รวมทั้งพิจารณากำหนดกระบวนการผลิตให้มีเฉพาะ BOFและ EAF เช่นเดียวกับแนวทางการยกระดับมาตรฐานคุณภาพเหล็กเส้นของประเทศจีนและประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค

** อนันตเดช พงษ์พันธุ์ **

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top