รายงานพิเศษ : ส่งออกของไทย...จะไปทางไหนในปี 2569

รายงานพิเศษ : ส่งออกของไทย...จะไปทางไหนในปี 2569

วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

** ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) …ระบุว่า มูลค่าส่งออกที่ขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (2568) ได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย 1.วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเกาะกระแสความต้องการโลกและเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย 2.ความรุนแรงของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่ประกาศไว้ในช่วงแรก (เช่น ไทย จาก 36% เหลือ 19%) อีกทั้งการจัดเก็บภาษีได้ถูกชะลออกไปในหลายส่วน เช่น ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและการค้าได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำที่ค่อนข้างจำกัดและยังขยายตัวได้ดี 3.การส่งออกทองคำที่สูงจากราคาที่สูงขึ้น และความต้องการทองที่สูงขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอน รวมทั้งการส่งออกทองคำพิเศษไปอินเดียในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 4.ปัจจัยฐานต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อย่างไรก็ดีมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงนั้น มาพร้อมกับการนำเข้าที่เร่งตัวมากเช่นกัน  โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผลบวกต่อเศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก

แม้ส่งออกจะขยายตัวดีในปี 2568 แต่ประเมินว่าการส่งออกของไทยในปี 2569 จะมีแนวโน้มหดตัว -1.5% (ตัวเลขระบบดุลการชำระเงิน) สาเหตุสำคัญจาก 1.เศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกในปี 2569 ที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่เริ่มส่งผลชัดเจน และเต็มรูปแบบมากขึ้น 2.ปัจจัยหนุนในปี 2568 ที่จะเริ่มหมดไป เช่น การเร่งผลิตและส่งสินค้าไปสหรัฐฯ (Front-load) การส่งออกทองคำพิเศษไปอินเดีย เป็นต้น 3.ปัจจัยฐานสูงในปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 4.การแข่งขันในตลาดโลกสูงขึ้น เนื่องจากทั่วโลกต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดสหรัฐฯ และ 5.ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก (ไม่มี Natural-hedge) ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่ามากกว่า 9% นับตั้งแต่ต้นปี  2568 สูงเกือบที่สุดในภูมิภาค ยกเว้นเพียงเมียนมา โดยจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 โดยสอดคล้องกับประมาณการของกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วง -3.3% ถึง 1.1% (ตัวเลขระบบศุลกากร)


นอกจากนี้ในระยะข้างหน้า ส่งออกไทยอาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านต่ำที่ต้องจับตาใกล้ชิดเพิ่มเติมจาก 1.ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เช่น ภาษีเฉพาะเจาะจงรายสินค้า (Sectoral tariff) โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment tariff) ซึ่งภาษีทั้ง 2 รูปแบบมีอัตราภาษีสูงกว่าที่ 19% ที่ไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบัน 2.ความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-สหรัฐฯ โดยเฉพาะการค้ากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกและการค้าโลก 3.ข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐฯ ยังไม่แน่นอนสูง อีกทั้งกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจทำให้การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า หรือไทยเสียเปรียบในการเจรจามากขึ้น 4.ปัญหาสินค้าจีนและสหรัฐฯ ทะลักในตลาดโลกมากขึ้น กระทบความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตัวเลขการส่งออกสินค้าในเดือน พ.ย.2568 แยกเป็นกลุ่มสินค้าพบว่า การส่งออกสินค้าเกษตร มีมูลค่า 1,868.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 15.7% หดตัว 4 เดือนต่อเนื่อง ,การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่า 1,868.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 2.3% หดตัวในรอบ 3 เดือน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่า 23,083.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.2% ซึ่งเป็นการขยายตัว 20 เดือนต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยสนับสนุนการส่งออกในเดือน พ.ย.2568 ได้แก่ 1.การส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯยังคงขยายตัวสูง แม้ว่าจะเผชิญกับภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ 2.การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก และ 3.การขยายตัวต่อเนื่องของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยดัชนี PMI ของโลกในเดือน พ.ย.2568 ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ที่ระดับ 50.5% ส่วนปัจจัยกดดันการส่งออก ได้แก่ 1.แรงส่งจากการเร่งส่งออกสินค้าในช่วงที่ผ่านมาเริ่มทยอยหมดลง ประกอบกับมีสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าบางประเทศ และ 2.การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารหดตัว จากการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก และผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

“เงินบาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำ และมันสะท้อนตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว ถ้าเราดูกลุ่มสินค้าอาหารและเกษตร พบว่ามีการติดลบมากกว่าสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีสัดส่วน 8.3% ของการส่งออกทั้งหมด ภาพใหญ่ 11 เดือน ติดลบถึง 4.3% เฉพาะเดือน พ.ย.2568 ที่เงินบาทค่อยๆแข็งค่าไปเรื่อยๆ เราติดลบ 15.7% สะท้อนว่าเงินบาทที่แข็งค่าจะอ่อนไหวมากต่อสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำ ซึ่งหลักๆจะเป็นสินค้าเกษตรและอาหาร”นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผอ.สนค.กล่าว

นายนันทพงษ์ กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกปี 2569 ว่า สนค.ประเมินว่าการส่งออกจะเติบโตชะลอลง จากภาวะเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัว ผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้น ปัญหาด้านราคาและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ และปัญหาสภาพอากาศรุนแรงจะส่งผลต่อสินค้าเกษตร กรณีที่ดีที่สุด การส่งออกจะขยายตัว 1.1% ส่วนกรณีเลวร้าย การส่งออกจะหดตัว 3.3% โดยปัจจัยกดดันหรือฉุดรั้งมี 2 เรื่อง คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่นอนของภาษีสหรัฐฯ ส่วนปัจจัยสนับสนุน คือ วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังเติบโตได้ รวมถึงอุปสงค์จากความต้องการสินค้า AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ตลอดจนการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตร

** อนันตเดช พงษ์พันธุ์ **

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top