สอท.ผนึกรัฐบาลหนุนอุตฯไทย ปรับแผนผลิตเขาสู่ยุคพลังงานสะอาด

สอท.ผนึกรัฐบาลหนุนอุตฯไทย ปรับแผนผลิตเขาสู่ยุคพลังงานสะอาด

วันอังคาร ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.45 น.

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ประเทศไทยได้ปรับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero จากปี ค.ศ. 2065 มาเป็นปี ค.ศ. 2050 นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ ที่จะผลักดันให้ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดย ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ในการขับเคลื่อนการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการต่างๆ การจัดฝึกอบรม การเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรม รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมสำคัญ คือ การจัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2025  โดยภายในงานยังจัดให้มีการออกบูธนิทรรศการ “นวัตกรรม เทคโนโลยีด้านพลังงานและ AI” จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีด้านพลังงาน และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ การค้าโลก “ป่วน” ภูมิอากาศโลก “เปลี่ยน” แผนพลังงานไทย “ปรับ” อุตสาหกรรมไทย จะไปต่ออย่างไรให้ยั่งยืน โดยกล่าวถึงสถานการณ์พลังงานของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และเทคโนโลยี ซึ่งกำลังเร่งให้ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ต้องปรับตัวเชิงนโยบายเพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องของ “พลังงานสะอาด” ถูกนำมาใช้เป็นประเด็นในการกีดกันทางการค้า (Non-Tariff Barrier)  และส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ


ทั้งนี้นโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน คือดำเนินนโยบายในกรอบ “4D1E” ได้แก่ Digitalization, Decarbonization, Decentralization, De-regulation และ Electrification เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในทุกมิติ และหนึ่งในแนวนโยบายสำคัญที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ คือ  การสร้างรายได้และลดรายจ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนผ่านโครงการ “โซลาร์ภาคประชาชน” และ “โซลาร์ชุมชน” ซึ่งมีเป้าหมายกำลังการผลิตรวมกว่า 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสร้างมูลค่าการลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร” จำนวน 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ไร่ รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์สูงสุด 200,000 บาทต่อครัวเรือน อีกทั้งยังมีการพัฒนาโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์) ซึ่งมีศักยภาพการผลิตรวมกว่า 1,638 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน ได้เดินหน้าโครงการสำคัญเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่และเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น โครงการ Direct PPA (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรง) ขนาด 2,000 เมกะวัตต์ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 1.6 ล้านตันต่อปี และสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่ง รวมทั้ง พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าการลงทุนกว่า 1,380 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ Data Center ซึ่งคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะสูงถึง 3,800  เมกะวัตต์ภายในปี 2580 พร้อมทั้งส่งเสริมมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม มูลค่าการลงทุนกว่า 800 ล้านบาท เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

“ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากภาคประชาชน และการนำเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการนำร่องในอ่าวไทยตอนบน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 540,000 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 6.4 ล้านตันต่อปี และสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง “ นายอรรถพลกล่าว

 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top