คลังชี้ปี68ศก.โตเพิ่ม ส่งออก-การบริโภคช่วยหนุน

คลังชี้ปี68ศก.โตเพิ่ม ส่งออก-การบริโภคช่วยหนุน

วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4  % (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9  % ถึง 2.9 % ) ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.2 % ต่อปี (ณ กรกฎาคม 2568) เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีที่คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวได้ดีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 และภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีที่ 3.0 % (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5 % ถึง 3.5 % ) โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568  

ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 10.0  % (ช่วงคาดการณ์ที่9.5  % ถึง 10.5 % ) จากการเร่งส่งออกของภาคเอกชนตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเเละตลาดจีนในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ที่ขยายตัวในระดับสูงที่ 26.4 % เเละ  10.8 %  ในสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เเละผลิตภัณฑ์ยางเป็นสำคัญ และการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.8  % (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3 % ถึง 1.3 % ) การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.6 % (ช่วงคาดการณ์ 5.1 % ถึง 6.1 % ) และการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ 1.7 % (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.2 % ถึง 2.2 % )


ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ -0.2  % (ช่วงคาดการณ์ที่-0.7 % ถึง 0.3 % )  ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานลดลงจากทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของภาครัฐและราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3.5  % ของ GDP

สำหรับในปี 2569 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงที่ 2.0  % ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.5 % ถึง 2.5 % ) เนื่องจากมีการเร่งส่งออกในปี 2568 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐเป็นสำคัญ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่ -1.5 % (ช่วงคาดการณ์ที่ -2.0 % ถึง -1.0 % )  อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก 1. ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับจะมีการจัดงานสำคัญต่าง ๆ เช่น งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569 และการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group - WBG) ประจำปี    

ส่วนปัจจัยบวกที่ 2. คือการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 2.4 % ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9  % ถึง 2.9 %)  และ 3. การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.0  % (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5 %ถึง 3.5 % ) จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนของภาครัฐ   ขณะที่คาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.6 ต่อปี  % (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.1 % ถึง 2.1 % ) และการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวที่ 1.7 % (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.2 % ถึง 2.2 % ) ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5  % ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.0 % ถึง 1.0 % ) ตามทิศทางอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.5 % ของ GDP (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.0 %  ถึง 3.0 % ของ GDP)

ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ “Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว โดยกำหนดการดำเนินงานเป็น 5 เสาหลัก ประกอบด้วย 1. การกระตุ้นเศรษฐกิจ 2. การลดภาระประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) 3. การส่งเสริมธุรกิจ SMEs 4. เพิ่มการออมภาคประชาชน และ 5. การลงทุนเพื่ออนาคต นอกจากนี้ ต้องวางรากฐานทางการคลังเพื่อสร้างความมั่นคง ยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ 1. นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น 2. ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 4. ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs และ 5. การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top