วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่าศูนย์ข้อมูลฯสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ช่วงครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย (Total Supply) 3,901 โครงการ 401,869 หน่วย มูลค่า 2,278,945 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 3.6% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล (กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) 256,201 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 68.3 %ของหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายทั่วประเทศ มีมูลค่า 1,623,235 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน71.2 %ของมูลค่าอยู่ระหว่างการขายทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยเพิ่มขึ้น 2.6% และ 10.7% ตามลำดับ เป็นโครงการเปิดขายใหม่ (New Supply) 18,278 หน่วย มูลค่า 140,288 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า 46.0 %และ 44.6 %
ในจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยพบว่ามีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ (New Sales) ในครึ่งปีแรก 21,886 หน่วย มูลค่า 132,312 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง 29.3% และมูลค่าลดลง 25.1% โดยเป็นการลดลงทุกประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขาย (Remaining Supply)เพิ่มเป็น 234,315 หน่วย มูลค่า 1,490,923 ล้านบาท จำนวนหน่วย 7.1% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 15.6% และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกประเภทของที่อยู่อาศัย ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเหลือขายประเภทอาคารชุดมากที่สุด มีสัดส่วน 37.8% ผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล จึงควรเพิ่มความระมัดระวังที่อยู่อาศัยประเภทและระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายจำนวนมาก เนื่องจากจะทำให้มีการขายแข่งขันสูง และปิดการขายล่าช้า ได้แก่ อาคารชุดและทาวน์เฮ้าส์ ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาท บ้านเดี่ยวในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท และบ้านแฝดในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
ศูนย์ข้อมูลฯคาดการณ์ว่าปี 2568 ในพื้นที่กรุงเทพฯ - ปริมณฑลจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 52,000 หน่วย ลดลง 17.2% จากปี 2567 หรือลดลงไปใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด และคาดว่าจะมีมูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ประมาณ 390,000 ล้านบาท ลดลง 22.2% จากปี 2567 ที่มีจำนวน 62,771 หน่วย และมีมูลค่า 500,968 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ยังคงชะลอตัว ปัจจัยสนับสนุนตลาดยังคงเป็นเรื่องมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และจดจำนอง รวมถึงการผ่อนคลาย LTV ซึ่งมีผลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง และรัฐบาลมีโนบายสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐ เช่นธอส. แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงคือ เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มชะลอตัว ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายกลาง และรายเล็ก จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง กำลังซื้อต่างชาติที่ลดลง การลงทุนพัฒนาโครงการใหม่จำเป็นต้องพิจารณาสินค้าคงเหลือขายในแต่ละทำเล และในแต่ละระดับราคา ผู้ประกอบการต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี