วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยในปี 2569 จะอยู่ที่ 1,075 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากอุปสงค์กุ้งในประเทศคู่ค้าหลักมีทิศทางลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariffs ที่ชัดเจนมากขึ้นเต็มปี รวมถึงเผชิญการแข่งขันรุนแรงกับคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะเอกวาดอร์ และอินโดนีเซีย โดยแนวโน้มการส่งออกกุ้งของไทย ยังเผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน จากทั้งปริมาณผลผลิตที่ปรับเพิ่มได้ยาก ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้นจากสงครามการค้า
ทั้งนี้ปี 2569 คาดมูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนแอ และเผชิญการแข่งขันรุนแรง ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีอุตสาหกรรมกุ้งครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ซึ่งปริมาณผลผลิตกุ้งของไทย 15% เป็นการบริโภคภายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 85% ถูกใช้เพื่อการส่งออก โดยปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับ 6 ของโลก สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ กุ้งสด แช่เย็นแช่แข็ง และกุ้งแปรรูป (รวมกุ้งกระป๋อง) ซึ่งมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และจีน ที่มีส่วนแบ่งในมูลค่าการส่งออกรวมกันกว่า 75% ของมูลค่าการส่งออกกุ้งของไทยทั้งหมด ทั้งนี้ สัดส่วนการส่งออกจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ สำหรับตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ไทยเน้นส่งออกกุ้งแปรรูป ขณะที่ ตลาดจีน ไทยส่งออกกุ้งสด แช่เย็นแช่แข็งเป็นหลัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุอีกว่าในอดีต ไทยเคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก แต่ปัจจุบัน พบว่าสัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลกปรับลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 สัดส่วนเหลือเพียง 4% เนื่องจากเกิดโรคระบาดกุ้งตั้งแต่ปี 2555 ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลงจาก 6.4 แสนตันต่อปี เหลือเพียง 2.7 แสนตันต่อปี ซึ่งแม้สถานการณ์โรคระบาดจะปรับดีขึ้น แต่ฟาร์มเลี้ยงกุ้งยังมีต้นทุนจากการควบคุมโรคเพิ่ม ประกอบกับการแข่งขันรุนแรงในตลาดโลก ทำให้เกษตรกรรายย่อยบางส่วนต้องชะลอหรือเลิกเลี้ยงไป
นอกจากปัญหาด้านการผลิตแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะข้างหน้ามาจาก 2 ประเด็นหลัก 1. ต้นทุนการผลิตกุ้งของไทยสูง ส่งผลให้ราคาส่งออกกุ้งเฉลี่ยของไทยในตลาดโลกแพงกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะอินเดีย และเอกวาดอร์ ซึ่งมีความได้เปรียบไทยทั้งเรื่อง 1. ปริมาณผลผลิตที่มีมากกว่าไทย 2-5 เท่า จากการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต ประกอบกับลักษณะการเลี้ยงที่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ การเลี้ยงไม่แออัด ทำให้สามารถควบคุมโรคระบาดได้ดีกว่า 2. ต้นทุนการเลี้ยงถูกกว่า เช่น ค่าแรง ค่าไฟฟ้า และค่าอาหารกุ้งอย่างกากถั่วเหลืองที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนสูง รวมถึงไทยยังมีต้นทุนแฝงจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยง/ควบคุมโรคที่เข้มงวดกว่า
2.Reciprocal Tariffs จะยิ่งกระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยมากขึ้น ก่อนมาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 ไทยสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ จากไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้มาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับการถูกตัดสิทธิ์ GSP ตั้งแต่ปี 2563 ทำให้บางสินค้ากุ้งแปรรูปของไทยต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ (MFN) สูงสุดถึง 5% ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าการนำเข้ากุ้งจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่องจาก 9% ในปี 2561 เหลือเพียง 5% ในปี 2567
ทั้งนี้หลังมาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 แม้ไทยจะมีโอกาสในการแย่งส่วนแบ่งตลาดอินเดียที่เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของสหรัฐฯ หลังโดน Reciprocal Tariffs สูงถึง 50% แต่ก็ยังต้องแข่งกับเอกวาดอร์ และอินโดนีเซียที่หลังคิดภาษีทั้งหมดแล้ว ราคานำเข้ากุ้งจากไทยยังแพงกว่าประเทศเหล่านี้ราว 49 % และ 27% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการแข่งขันรุนแรงในตลาดส่งออกอื่น โดยเฉพาะในจีนและญี่ปุ่น ที่หลายประเทศพยายามเพิ่มสัดส่วนการส่งออกทดแทนตลาดสหรัฐฯ
ส่วนประเด็นกระทบการส่งออกกุ้งของไทยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม 1. สถานการณ์โรคระบาดในกุ้งที่ยังมีอยู่ สะท้อนจากผลผลิตกุ้งของไทยที่หดตัวเฉลี่ยปีละ 1.2% (CAGR 2561-2567) เป็นผลให้ปริมาณผลผลิตกุ้งเพื่อการส่งออกมีไม่เพียงพอ ซึ่งในบางช่วงเวลาไทยต้องนำเข้ากุ้งมาป้อนโรงงานเพื่อชดเชยผลผลิตที่ลดลง ทำให้การควบคุมต้นทุนการผลิตของผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์กุ้งจึงทำได้ยาก 2. ต้นทุนค่าอาหารกุ้งยังผันผวนและมีทิศทางสูงขึ้น ต้นทุนส่วนนี้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของต้นทุนการผลิตรวมทั้งหมด โดยเฉพาะปลาป่นที่เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 36 บาท/กก. (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2568) เพิ่มจากต้นปีที่ 29 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้นราว 24% จึงส่งผลกดดันอัตรากำไรของผู้ส่งออกกุ้ง
3.การแข็งค่าของเงินบาท อาจซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขัน โดยปัจจุบัน ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้นแล้ว 6.7% (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2568) สวนทางกับ เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่ค่าเงินมีทิศทางอ่อนค่า ทำให้ราคาส่งออกกุ้งของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฯ แพงขึ้นโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ 4. การปรับตัวด้าน ESG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก เช่น การได้รับมาตรฐาน ASC (Aquaculture Stewardship Council) ขณะที่ ปัจจุบันฟาร์มเลี้ยงกุ้งของไทยที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าวมีไม่ถึง 1% ของฟาร์มเลี้ยงกุ้งทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ส่งออกกุ้งต้องปรับตัวตลอดห่วงโซ่การผลิตเพื่อตอบโจทย์คู่ค้าที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ EU และญี่ปุ่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี