วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ll มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 14,639 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.3 แสนล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องที่ 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY หลังจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 0.3% YoY โดยสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป โดย ข้าว (53.0% YoY) เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร และนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ส่วนยางพารา (37.3%YoY) ปรับตัวขึ้น จากราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (4.1%YoY) ได้รับผลบวกจากความต้องการนำเข้าในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อภาวะสงคราม ส่วนสินค้าที่หดตัว ได้แก่ มันสำปะหลัง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และน้ำตาลทราย
สำหรับทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2567-2568 เช่น ข้าว คาดว่าในปี 2567 ปริมาณการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 9.2 ล้านตัน หรือยังคงขยายตัวราว 5.0%YoY จากปัญหาอุปทานข้าวโลกที่ตึงตัวจากปัจจัยเอลนีโญในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ประเทศคู่ค้ายังคงมีการสะสมสต๊อกข้าว ซึ่งผลผลิตข้าวไทยยังมีเพียงพอสำหรับส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรกอาจส่งผลต่อไทยน้อยกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังยังต้องติดตามนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงในเดือนตุลาคม เนื่องจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของลานีญา อาจทำให้ซัพพลายข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาข้าวในตลาดโลกในช่วงปลายปีมีแนวโน้มลดลง และยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่ง ที่คาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว
ส่วนในปี 2568 คาดว่า ปริมาณการส่งออกข้าวจะลดลงมาอยู่ที่ 7.8 ล้านตัน หรือลดลง-15.1%YoY โดยหากภัยแล้งในอินเดียเริ่มคลี่คลายจะทำให้อินเดียผ่อนคลายนโยบายควบคุมการส่งออกข้าว ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่550 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือลดลง -7.6%YoY
มันสำปะหลัง ในปี 2567-2568 คาดว่า อุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนยังมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลัง เนื่องจากความต้องการข้าวโพดต่อสต๊อกข้าวโพดของจีนที่ยังสูงอยู่ที่ราว 1.5 เท่า แต่ในปี 2567 ผลผลิตมันสำปะหลังไทยมีแนวโน้มจะไม่เพียงพอต่อการส่งออก เนื่องจากปัญหาภัยแล้งในไทยในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังได้รับความเสียหายและผลผลิตมีจำกัด รวมทั้งต้องแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า ส่วนในปี 2568 หากสภาพอากาศเอื้ออำนวยคาดว่าจะทำให้ผลผลิตกลับมาขยายตัวได้ คาดว่า ในปี 2567 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ 2.5 ล้านตัน หรือหดตัว -45.0%YoY สำหรับราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 8.1 บาท/กก. และ 230 เหรียญสหรัฐ/ตันตามลำดับ (ลดลง -5.8%YoY และ -15.4 %YoY) ส่วนในปี 2568 ปริมาณส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดคาดจะอยู่ที่ 2.7 ล้านตัน หรือขยายตัว 10.0%YoY ขณะที่ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 8.0 บาท/กก. และ 225 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามลำดับ (ลดลง -1.0%YoY และ -2.0%YoY)
ยางพารา ในปี 2567 คาดว่า มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 58.0% YoY โดยเป็นผลจากราคาส่งออกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 33.0%YoY เป็น 1.9 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกราคาส่งออกอยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของปรากฏการณ์แอลนีโญในช่วงปลายปี 2566 ที่ทำให้ผลผลิตยางพาราโลกต่ำกว่าความต้องการใช้ยางพาราของโลก อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าราคาส่งออกยางพาราจะมีแนวโน้มลดลง ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้น 15.0%YoY ตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่ทยอยฟื้นตัว ส่วนในปี 2568 คาดว่า มูลค่าส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1%YoY โดยเป็นผลจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 5.0%YoY เป็น 2.2 ล้านตัน ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ขณะที่ราคาส่งออกยางพาราปรับตัวลดลง -2.9%YoY เป็น 1.5 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จากผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก
ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ในปี 2567 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ราว 2.28 แสนล้านบาท หรือหดตัว-4.3%YoY เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันด้านผลผลิตเป็นหลัก โดยแม้ราคาทุเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นแต่สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตต่อไร่ของทุเรียนลดลง โดยคาดว่า ผลผลิตทุเรียนในปี 2567 จะอยู่ที่ราว 1.28 ล้านตัน หรือลดลง -13%YoY นอกจากนี้ การส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกระทบการส่งออกผลไม้ของไทย
ส่วนในปี 2568 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ราว 2.46 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 7.8%YoY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ประกอบกับปริมาณผลผลิตผลไม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย อีกทั้งความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การแข่งขันในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จากการเร่งขยายการส่งออกทุเรียนของประเทศคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย รวมถึงผลผลิตทุเรียนของจีนที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้น
ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ในปี 2567-2568 คาดว่า ปริมาณส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.12 และ 1.17 ล้านตัน หรือยายตัว 3.4%YoY และ 4.2%YoY คิดเป็นมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 146,401 และ 153,721 ล้านบาทหรือขยายตัว 4.0%YoY และ 5.0%YoY ตามลำดับเนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น
แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2567 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้ 1.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รอบใหม่ อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา เนื่องจากไทยส่งออกยางพาราไปจีน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 39% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราทั้งหมดของไทย ทำให้อาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนในอัตรา 100% ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีแนวโน้มลดลง
2.ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจกระทบต่อต้นทุนการส่งออก ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าขนส่งที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงตามราคาน้ำมันและค่าระวางเรือในตลาดโลก รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น สินค้าในกลุ่มข้าวและอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น3.การแข่งขันในตลาดจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ทำให้การแข่งขันด้านราคาของทุเรียนสดในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น อาจกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทย
4.ต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและอาหาร โดยล่าสุดรัฐบาลมีแผนจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปัจจัยท้าทายจากมาตรการสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products) ที่จะเริ่มนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา และน้ำมันปาล์ม 5.สภาพอากาศในช่วงครึ่งปีหลังที่เข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญาอาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยอาจส่งผลต่อนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่างๆ ที่ในช่วงที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทยอยได้รับอานิสงส์ลดลง เช่น นโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่อาจมีการผ่อนคลายลงในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เป็นต้น 6.การขึ้นค่าแรงทั่วประเทศเป็น 400 บาท โดยให้เริ่มมีผลในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งจะกระทบกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการใช้แรงงานจำนวนมากเช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง เป็นต้น
Krungthai COMPASS

เปิดแผน บริการ ระบบขนส่งสาธารณะ วันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค.นี้
มีเรื่องเล่าเมื่อ 20 ปีก่อน! 'ดร.ธรณ์' เปิดความทรงจำที่ภูพิงค์ เข้าเฝ้า'พระพันปีหลวง' หลังเหตุสึนามิ
‘อนุทิน’ถึงมาเลเซียแล้ว เตรียมร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียนพรุ่งนี้
'บอดี้สแลม'ยืนถวายอาลัย 'สมเด็จพระพันปีหลวง'ก่อนแสดง (คลิป)
นครบาลเผยเส้นทางเลี่ยง เคลื่อนพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สู่พระบรมมหาราชวัง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี