การค้าโลกไม่มีความแน่นอนสูง เศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคมชะลอตัว
** ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ได้เผยแพร่รายงาน การวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ประจำเดือนกันยายน 2568 (Asian Development Outlook: ADO) โดยระบุว่าเศรษฐกิจของภูมิภาค ปี 2568 จะขยายตัวที่ 4.8% และปี 2569 ที่ 4.5% โดยตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าประมาณการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 4.9% และ 4.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้การปรับเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรโดยสหรัฐอเมริกา และระดับความไม่แน่นอนทางการค้าที่สูงขึ้นนั้น คาดว่าจะส่งผลกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่ที่ 1.7% ในปี 2568 นี้ เนื่องจากราคาสินค้าอาหารและพลังงานที่ต่ำลง ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.1% ในปี 2569 อันเป็นผลจากการที่ราคาสินค้าอาหารกลับเข้าสู่ระดับปกติ
นายอัลเบิร์ด ปาร์ค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอดีบี กล่าวว่า “การเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกยังคงแข็งแกร่งในปี 2568 นี้ จากแรงขับเคลื่อนของการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศที่มั่นคง แต่สภาพแวดล้อมภายนอกที่ซบเซาได้เริ่มส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ภายใต้บริบทการค้าโลกใหม่ สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องเดินหน้าส่งเสริมการบริหารเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ และการบูรณาการระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง”
ประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่ามาตรการสนับสนุนด้านนโยบายนั้นจะช่วยรองรับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูงขึ้น รวมถึงภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้เศรษฐกิจของจีนคาดว่าจะขยายตัว 4.7% ในปี 2568 นี้ และ 4.3% ในปี 2569 และการที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าส่งออกของอินเดียในระดับสูงตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย โดยเอดีบีได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียอยู่ที่ 6.5% ทั้งในปี 2568 และปี 2569 จากการคาดการณ์เดิมในเดือนเมษายนที่ 6.7% และ 6.8% ตามลำดับ
สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอดีบีได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตมากที่สุด สืบเนื่องจากอุปสงค์ระดับโลกที่อ่อนแอลงและความไม่แน่นอนด้านการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งการเติบโตของอนุภูมิภาคนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3% ทั้งในปี 2568 และปี 2569 โดยเป็นปรับลดลง 0.4% ในแต่ละปี เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในเดือนเมษายน ส่วนคาดการณ์การเติบโตของคอเคซัสและเอเชียกลางนั้น ได้ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2568 นี้อยู่ที่ 5.5% ในขณะที่การคาดการณ์ในปี 2569 ถูกปรับลดลง 0.1% เหลืออยู่ที่ 4.9% โดยสาเหตุหลักมาจากการผลิตน้ำมันและก๊าซที่ลดลงในบางประเทศของภูมิภาค และสำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิกนั้น คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เป็น 4.1% จากการผลิตเหมืองแร่ที่แข็งแกร่ง ขณะที่การคาดการณ์การเติบโตของอนุมิภาคในปี 2569 นั้น ถูกปรับลดลงอยู่ที่ 3.4% จาก 3.6% ของเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากการคาดการณ์ผลผลิตจะอ่อนตัวลง รวมถึงการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง
ทั้งนี้ความเสี่ยงหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิก ได้แก่ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่อาจมีการเก็บภาษีเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเวชภัณฑ์ รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ต่อเนื่อง ความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน และความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดการเงินที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคด้วยเช่นเดียวกัน
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคม 2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยชะลอลงจากเดือนก่อน จากผลผลิตเกษตร การผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต อาทิ การค้าและการขนส่งสินค้า โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงในหลายสินค้า โดยเฉพาะรถยนต์และอาหารและเครื่องดื่มจากอุปสงค์ที่ชะลอลง สินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง และปัจจัยชั่วคราวจากการหยุดผลิตรถยนต์ของบางโรงงานเพื่อปรับกระบวนการผลิต และการปิดซ่อมบำรุงโรงงานบางโรงในหมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้าทรงตัวจากเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชะลอลงบ้างหลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดีภาคท่องเที่ยวปรับดีขึ้นจากรายรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลางและรัฐวิสาหกิจ
“การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง จากอุปสงค์บางสินค้าชะลอลง สินค้าคงคลังบางสินค้าอยู่ในระดับสูง และปัจจัยชั่วคราวจากการหยุดผลิตรถยนต์ของบางโรงงานเพื่อปรับกระบวนการผลิต และการปิดสายการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางส่วนเพื่อซ่อมบำรุง การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาลดลงเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลงบ้างหลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า การจ้างงานทรงตัว แต่การจ้างงานในภาคก่อสร้างยังลดลงต่อเนื่อง ด้านสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานต่อผู้ประกันตนปรับลดลง”
เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นเล็กน้อย จากอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดที่ติดลบมากขึ้นตามราคาผักและเนื้อสัตว์จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานติดลบน้อยลงจากราคาน้ำมันขายปลีกที่ทรงตัวมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นบวกใกล้เคียงกับเดือนก่อน สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลตามดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลตามการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติตามฤดูกาล ประกอบกับดุลการค้าเกินดุลลดลง ด้านตลาดแรงงานโดยรวมทรงตัว
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม 1.การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม 2.ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา 3.พัฒนาการภาคการท่องเที่ยว และ 4.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
** กระบองเพชร **
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี