วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 21.21 น. ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สิริพระชนมพรรษา 93 พรรษา
สำหรับคนไทยที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สมควรจะต้องรู้และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างดี เพราะคนไทยที่มีอายุช่วงดังกล่าวจะต้องเห็นเจนตาเมื่อครั้งพระองค์เสด็จพระราชดำเนิน โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะในเขตแดนทุรกันดารทั่วประเทศไทย เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือต่างๆ ให้ประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก จนอาจจะกล่าวได้ว่า ณ พื้นที่แห่งใดที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำเนินไปถึง ก็หมายความว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ซึ่งสมเด็จพระพันปีหลวงทรงพระราชดำเนินไปถึงเช่นกัน เพราะทั้งสองพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างกัน เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือให้พสกนิกรผู้ประสบทุกข์ ได้ผ่านพ้นความทุกข์ยากลำเค็ญ
หากจะกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ในสมเด็จพระพันปีหลวง ที่พระราชทานแก่พสกนิกรไทยมายาวนานหลายสิบปี ก็คงจะต้องใช้เวลานานเป็นวันๆ กว่าจะกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณได้หมดสิ้นทุกประการ แต่ที่จะขอกล่าว ณ ที่นี้คือน้ำพระทัยที่พระราชทานให้กับเกษตรกรชาวไร่ชาวนาให้มีความภาคภูมิใจในสายเลือดทางศิลปินเชิงช่างโดยผ่านโครงการศิลปาชีพฯ จนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าคนไทยนั้นถึงแม้จะมีอาชีพเป็นเกษตรกรชาวไร่ชาวนาแต่ก็มีสายเลือดของความเป็นศิลปิน เป็นนักประดิษฐ์ผู้มีความเป็นเลิศในงานเย็บปักถักร้อย งานปั้น งานแกะสลัก และงานฝีมืออีกสารพัดสารพันชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระพันปีหลวงที่ทรงบอกชาวบ้านว่าอย่าทิ้งของเก่าที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ เพราะสิ่งเหล่านี้คือเครื่องแสดงถึงรากเหง้าความเป็นมาของเราทุกคนซึ่งเป็นคนไทยในแต่ละภูมิภาคของประเทศนี้
งานศิลป์ชั้นสูงของประเทศไทยที่เกิดจากฝีมือของชาวไร่ชาวนา และลูกหลานของชาวไร่ชาวนา ได้ประจักษ์ชัดสู่สายตาชาวไทยและชาวโลกซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สมเด็จพระพันปีหลวงทรงปลื้มปีติและภาคภูมิพระทัยมากในงานศิลป์ชั้นสูงที่เกิดจากฝีมือคนไทย เป็นการสืบทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชุมชนไว้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นว่าเมื่อพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาชาติก็จะทรงให้นำงานศิลป์แผ่นดินไปอวดสายตาชาวโลกด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือช่างชั้นสูงของไทย ที่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

สมเด็จพระพันปีหลวงมีพระราชดำรัส ดังนี้
“...ข้าพเจ้านั้นภูมิใจเสมอมาว่า คนไทยมีสายเลือดของช่างฝีมืออยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา หรืออาชีพใด อยู่สารทิศใดคนไทยมีความละเอียดอ่อนและไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขาได้โอกาสฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นได้...”
พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2532 ด้วยทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกลในการสร้างรากฐานของประชาชนจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมอาชีพและความมั่นคงให้พสกนิกร ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ต่อไปและสืบต่อจนปัจจุบัน ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันให้ราษฎรได้มีอาชีพที่มั่นคง และมีความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปประกอบอาชีพที่อื่น
ศิลปาชีพ เป็นงานสําคัญที่เกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงงานช่วยเหลือประชาชนในชนบทอย่างใกล้ชิด ด้วยความละเอียดและประณีตของพระองค์ ทรงสังเกตเห็นว่า หัตถกรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ นั้น ล้วนแต่มีคุณค่าและมีความงดงามซ่อนอยู่ เป็นเอกลักษณ์ประจําในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ที่ชาวบ้านทําขึ้นใช้เองในการดํารงชีวิต ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกลจึงทรงเห็นว่า ถ้าได้มีการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างจริงจังแล้วจะเกิดประโยชน์ถึงสองทาง คือ ประการแรก เป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้าน และประการที่สอง คือ เป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านโบราณ อันเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2519 เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ในชนบท โดยการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน มูลนิธิฯ มีศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง ทุกแห่งล้วนประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ได้โอบอุ้ม ช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถส่งลูกหลานได้เรียนหนังสือและครอบครัวมีชีวิตที่ดี เป็นการขยายโอกาสและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ราษฎร ด้วยผลิตภัณฑ์อันวิจิตรบรรจงที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรมอันเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศชาติตลอดไป
(ขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานพระคลังข้างที่)

‘กองทัพไทย’ชี้แจง‘ผู้ช่วยทูตทหาร’ 19 ชาติ ย้ำ‘กัมพูชา’ยั่วยุ-ใช้อาวุธต่อประชาชน
ปณท.หนุนสินค้าไทย ส่งออกผ่านThailandPostMart
ปราบปรปักษ์! ‘ทัพเรือ’ส่ง‘เรือหลวงเทพา’ระดมยิงถล่มเขมร เปิดปฏิบัติการรบ‘น้ำ-ฟ้า-ฝั่ง’
ปี69ศก.ไทยอาการหนัก ตัวขับเคลื่อนพร้อมใจอ่อนแรง
แนวหน้าวิเคราะห์ : วัดใจทุกพรรคการเมือง! สัปดาห์ชี้ชะตา'แก้รัฐธรรมนูญวาระ 2 จะจบได้ไหม'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี