ll อุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแข่งขันกับเหล็กนำเข้าจากประเทศจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด และกดดันให้ราคาเหล็กอยู่ในเทรนด์ขาลง ซึ่งเป็นที่ทราบกันในแวดวงธุรกิจเหล็กว่าเมื่อไหร่ที่ราคาอยู่ในเทรนด์ขาลง ผู้ประกอบการจะมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากปัญหา Stock Loss ได้เมื่อต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทผลิตเหล็กรายหนึ่งประกาศว่า “จะหยุดสายการผลิตเป็นระยะเวลา 1 เดือน” โดยให้คำอธิบายว่าได้รับผลกระทบจากการที่กลุ่มทุนนอกประเทศเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยซึ่งส่งผลรุนแรงต่อผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ทำให้บริษัทฯ มียอดขายลดลงและเกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ไทยมีการบริโภคเหล็กโดยเปรียบเทียบ 8.0 ล้านตัน หดตัว-5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นเหล็กทรงแบน อาทิ เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นชุบหรือเคลือบโลหะเจืออื่นๆ ที่มีอุตสาหกรรมปลายน้ำเป็นกลุ่มยานยนต์และบรรจุภัณฑ์ 5.0 ล้านตัน ลดลง -4.3%YoY สำหรับเหล็กทรงยาว ไม่ว่าจะเป็นเหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย หรือเหล็กลวดที่มีธุรกิจก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมปลายน้ำนั้นมีการบริโภคเท่ากับ 3.0 ล้านตัน ลดลง -7.0%YoY
นอกจากปัญหาความต้องการบริโภคเหล็กที่ลดลงแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจของเหล็กไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากเหล็กนำเข้า สะท้อนจากสัดส่วนเหล็กนำเข้าต่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจาก 65.6% ในปี 2562 เป็น 69.0% ใน 1H/67 โดยเมื่อแยกตามผลิตภัณฑ์พบว่าเหล็กทรงแบนมีสัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 6.1% จาก77.3% ในปี 2562 เป็น 83.4% ใน 1H/67 ส่วนทรงยาวเพิ่มขึ้น 3.9% จาก 40.8% เป็น 44.7% ในช่วงเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้สัดส่วนการนำเข้าเหล็กทรงยาวเพิ่มขึ้นช้ากว่าทรงแบนเป็นเพราะ 1.การใช้เหล็กในภาคก่อสร้างต้องได้รับ มอก. และ 2.ภาครัฐมีการกำหนดสัดส่วนการใช้วัสดุก่อสร้างในประเทศ (Local Content) ในบางโครงการอีกด้วย
ทั้งนี้ ไทยมีสัดส่วนการนำเข้าเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะหลังจากราว 20% ในปี2561-2562 ขึ้นมาเป็น 28.9% ในปี 2566 และ31.8% ใน 1H/67 สาเหตุสำคัญที่ทำให้เหล็กจีนมีสัดส่วนในไทยมากขึ้นเป็นเพราะ 1.จีนเป็นผู้ผลิตเหล็กอันดับ 1 ของโลก โดยมีสัดส่วนการผลิตกว่า50-55% ทำให้มีความได้เปรียบด้านขนาด (Economy of Scale) ส่งผลต่อเนื่องให้เหล็กจีนสามารถทำราคาได้น่าดึงดูดกว่า ประกอบกับ 2.เมื่อภาวะเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะจากปัญหาในภาคอสังหาฯ ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในจีนจึงหดตัวตามลงมา และทำให้ผู้ผลิตเหล็กของจีนต้องหาทางระบายสต๊อกเหล็กของตนผ่านการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ
สำหรับราคาเหล็กไทยใน 1H/67 พบว่าอยู่ที่ระดับ 21.3-25.2 บาทต่อกิโลกรัม หดตัวในกรอบ-9%YoY ถึง -7%YoY โดยเป็นการปรับตัวลงตามทิศทางราคาเหล็กจีน เป็นที่ทราบกันว่าราคาเหล็กไทยมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันราคาเหล็กจีน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2567 ราคาเหล็กจีนอยู่ในขาลงต่อเนื่อง โดยถูกกดดันจากภาวะตลาดอสังหาฯ ในจีนซึ่งมีสัดส่วนการใช้เหล็กถึง 1 ใน 3อยู่ในภาวะที่ไม่สู้ดีนักสะท้อนจากการลงทุนในตลาดอสังหาฯ ของจีนที่หดตัว -10.1%YoY ใน 1H/67 กดดันให้ราคาเหล็กจีนปรับตัวลงในกรอบ-9.5%YoY ถึง -7.0%YoY มาที่ 539-547 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งเมื่อประกอบกับการใช้เหล็กในไทยที่หดตัวตามภาวะอุตสาหกรรมปลายน้ำทั้งยานยนต์และก่อสร้างจึงส่งผลต่อเนื่องให้ราคาเหล็กในไทยยังอยู่ในทิศทางเทรนด์ขาลงต่อเนื่อง
ด้านผลการดำเนินงานของธุรกิจเหล็กพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในภาวะที่ไม่สู้ดีนัก โดย การประเมินอ้างอิงจากงบการเงินรอบ 1H/67 ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กมีรายได้ในภาพรวมลดลง -14.5%YoY ใน 1H/67 คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 7.2 หมื่นล้านบาท โดยมีแรงกดดันจาก 1) การหดตัวของอุตสาหกรรมปลายน้ำใน 1H/67 ทั้งการผลิตรถยนต์และภาคก่อสร้าง ประกอบกับ 2) ราคาเหล็กที่อยู่ในเทรนด์ขาลง ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งนี้ เป็นข้อสังเกตผู้ประกอบการเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบด้านรายได้สะท้อนจาก 75% หรือ 15 จาก 20 ของบริษัทในหมวด .STEEL ที่นำมาวิเคราะห์มีรายได้ใน 1H/67 ที่หดตัวจากปีที่ผ่านมา
ผู้ประกอบธุรกิจเหล็กมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องสูงขึ้น สะท้อนจาก “Cash Cycle” ที่ยาวขึ้น และ “Quick Ratio” ที่แย่ลง โดยธุรกิจเหล็กในตลาดหลักทรัพย์มีวงจรเงินสดนานขึ้นจาก 125 วันในปี 2566 เป็น 138 วันในปี 1H/67นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจเหล็กใน 1H/67 ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับภาวะกำไรสุทธิติดลบ หรือ “ขาดทุนสุทธิ” โดยพบว่าธุรกิจเหล็กมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย -4.6% ติดลบหนักกว่าปี 2566 ที่ -3.5% โดยส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากทิศทางราคาเหล็กที่อยู่ในเทรนด์ขาลงต่อเนื่อง
หากประเมินความต้องการใช้เหล็กโดยรวมของไทยสำหรับทั้งปี 2567 ว่าจะอยู่ในระดับ 15.7 ล้านตัน หดตัว -3.8%YoY เพราะแม้การผลิตบรรจุภัณฑ์โลหะจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ +5.5%YoY ตามทิศทางการส่งออกอาหารทะเลกระป๋อง แต่ความต้องการใช้เหล็กในภาพรวมจะยังถูกกดดันจากจำนวนการผลิตรถยนต์ที่อาจจะหดตัวถึง -11.7%YoY เหลือ 1.62 ล้านคัน ขณะที่ภาคก่อสร้างนั้นคาดว่าแม้ภาครัฐสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วง Q4/67FY (ก.ค.-ก.ย. 2567) และ Q1/68FY (ต.ค.-ธ.ค. 2567)แต่ด้วย 1H/67 ที่หดตัวหนักไปแล้วถึง -11.2%YoY จึงมองว่าภาคก่อสร้างในปี 2567 จะอยู่ในระดับทรงตัวจากปีที่ผ่านมาเท่านั้น ส่วนในปี 2568 คาดว่าความต้องการใช้เหล็กจะอยู่ที่ 16.0 ล้านตัน ฟื้นตัวเล็กน้อย +2.1%YoY ตามทิศทางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปลายน้ำ แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี (2561-2566) ที่ 17.3 ล้านตัน อยู่พอสมควร ส่วนทิศทางราคาเหล็กมองว่าจะขึ้นอยู่กับภาวะอสังหาฯ ในจีนโดยหากยังไม่อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ก็มีโอกาสที่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยจะอยู่ในเทรนด์ขาลงต่อไปซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจเหล็กควรติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา Stock Loss
ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องจับตา ในระยะถัดไป คือ1.การใช้เหล็กต่อการผลิตรถยนต์ 1 คันมีแนวโน้มที่จะลดลงได้ในอนาคต อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า 1 ในอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ใช้เหล็กค่อนข้างมาก คือ “การผลิตยานยนต์” ซึ่งในอนาคตโครงสร้างการผลิตรถยนต์ของไทยจะทยอยเปลี่ยนไป รถยนต์ ICE จะมีสัดส่วนน้อยลง และถูกแทนที่ด้วย BEV ซึ่งการผลิตรถยนต์ ICE จะใช้เหล็กคันละ 900-1,000 กิโลกรัม และมีแนวโน้มลดลงเหลือ 800-900 กิโลกรัม สำหรับ BEV โดยแนวโน้มการใช้เหล็กของรถยนต์ BEV ที่น้อยกว่า ICE มีสาเหตุ 2 ประการ คือ 1.เกิดขึ้นจากความพยายามลดน้ำหนักรถยนต์ด้วยการใช้วัสดุน้ำหนักเบา หรือ Light Weight Materialsอาทิ อะลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อขยายระยะทางวิ่งให้ไกลที่สุดและ 2.อีกสาเหตุที่ทำให้ BEV มีอัตราการใช้เหล็กน้อยลงยังเกิดขึ้นจากการหายไปของเครื่องยนต์สันดาป ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยอัตราการใช้เหล็กต่อการผลิตรถยนต์ 1 คัน ที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต จึงเป็นที่น่าติดตามว่าปริมาณการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยจะฟื้นตัวตามจำนวนการผลิตได้จริงหรือไม่?
ในส่วนของเหล็กทรงยาว อาทิ เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย และเหล็กลวด คาดว่าในระยะถัดไปจะได้รับแรงสนับสนุนการภาคก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกท์คมนาคมขนาดใหญ่ของไทย สะท้อนจากการคาดการณ์การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐสำหรับโครงการเมกะโปรเจกท์ในปี 2568-69 ซึ่ง TDRI มองว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าปีละ 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2567 นี้ เมกะโปรเจกท์ที่จะเข้ามาเป็นไฮไลท์หรือมีบทบาทสำคัญในภาคก่อสร้างไทยในปี 2568-2569 ยกตัวอย่างเช่น 1.รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ-หนองคาย) ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย เงินลงทุน 2.52 แสนล้านบาทปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติจากครม. โดยคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลและใช้ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2567-2574 โครงการที่2.รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง เงินลงทุนรวม 2.64 แสนล้านบาท ปัจจุบันเส้นทางขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 2.8 หมื่นล้านบาทมีการยื่นซองประมูลไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2567 ส่วนอีก 5 เส้นทางที่เหลือคาดทยอยเปิดประมูลในช่วงที่เหลือของปี 2567 โดยทั้ง 6 เส้นทางจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2567-2570 และ 3.รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ เงินลงทุน 1.22 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2568 และเสร็จสิ้นปี 2572
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี